One Day Trip | เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ เช็คอิน 5 ท่าเรือ
22,898 ครั้ง
16 มี.ค. 2565
22,898 ครั้ง
16 มี.ค. 2565
พูดถึงย่านเมืองเก่าใจกลางเมืองหลวง เดินทางได้อย่างง่ายๆ ไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ หรือเรือด่วนเจ้าพระยา ก็จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ความเก่าแก่แบบดั้งเดิมที่ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ ในทุกวันนี้ แต่อย่านึกถึงความเก่าแก่ในภาพที่ดูน่าเบื่อหรือล้าสมัย การเดินทางครั้งนี้ของเราจัดวันเดย์ทริปเที่ยวในแบบชิคๆ ที่เกาะรัตนโกสินทร์ พาเดินกันตลอดทั้งทริปผ่าน 5 ท่าเรือสำคำญริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ ท่าเตียน ท่าช้าง ท่ามหาราช ท่าพระจันทร์ และท่าพระอาทิตย์ ชวนทุกคนเตรียมกล้อง เตรียมกายและใจให้พร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่า One Day Trip | เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ เช็คอิน 5 ท่าเรือ จะชิคและชิลล์ขนาดไหน~
มาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า!! การเดินทางมายังโซนเกาะรัตนโกสินทร์ที่เราเลือกเดินทางวิธีง่ายๆ เลยก็คือ ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) โดยจุดหมายแรกของเราเลือกลงกันที่สถานีสามยอด ประตูทางออก 3 ในยามเช้าแบบนี้ก็ต้องหาอะไรกินเติมพลังกันก่อน สำหรับร้านอาหารเช้าที่เราเลือกเป็นร้านแรกของทริปเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ก็คือร้านชื่อดังที่อยู่แถวดิโอล์ดสยาม เดินไปดูกันดีกว่าว่าคือร้านอะไร
สถานีสามยอด เป็นอีกหนึ่งสถานีที่มีความโดดเด่นและยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ ด้วยภายนอกสถานีมีสถาปัตยกรรมแบบชิโน – โปรกุตีส ตัวอาคารทั้งแถบทาด้วยสีครีมและตัดกับกรอบหน้าต่างสีเขียว เพียงแค่เดินออกมาจากสถานีก็อดใจถ่ายรูปสวยๆ คู่กับอาคารสักหน่อย
พูดถึงร้านอาหารเช้าที่มีอายุยาวนานกว่า 90 ปีในย่านรัตนโกสินทร์ เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักร้าน ออน ล๊อก หยุ่น เป็นร้านตึกแถวขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ เรียบง่ายและคลาสสิก ภายในร้านเป็นสไตล์ย้อนยุคมีทั้งหมด 2 ชั้นที่สามารถนั่งกินได้ บรรยากาศชวนให้นึกถึงวันวานเหมือนกับสภากาแฟ ไม่ใช่แค่ร้านอาหารที่เข้ามานั่งกินเท่านั้นแต่เป็นสถานที่พบปะ มากินอาหารเบาๆ และพูดคุยกันระหว่างเพื่อน เมนูของทางร้านก็เป็นอาหารเช้าง่ายๆ มีให้เลือกมากมายทั้งของหวาน ของคาว เครื่องดื่ม เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นมื้อเช้าที่เข้ากับบรรยากาศชิลล์ๆ ของทริปเราจริงๆ
ภายในร้านยังคงมีการตกแต่งแบบไทยสมัยก่อน ดูมีเสน่ห์และเก๋มากๆ สำหรับคนยุคใหม่แบบเรา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัยรุ่นถึงชอบมาเช็คอินที่นี่กัน
อาหารเช้าน่ากินมากๆ เป็นมื้อเช้าที่ไม่หนักเกินไป โดยส่วนใหญ่จะเป็นขนมปัง ไข่ แฮม ไส้กรอก รสชาติกำลังดี กลางๆ สามารถกินเดียวๆ ได้เลยหรือกินคู่กับซอสก็เพิ่มความจัดจ้านได้เช่นกัน ส่วนซอสที่คุณพ่อเจ้าร้านแนะนำก็คือ ซอสผสม 3 ชนิด ได้แก่ แม็กกี้ ซอสพริก และซอสมะเขือเทศ แม้ว่าจะเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไปบ้าง แต่กินไปกินมาจิ้มกับซอสก็เพลินๆ อยู่นะ ใครที่ไปออน ล็อก หยุนต้องลองทำซอสสูตรนี้ดูบ้าง ในส่วนของเครื่องดื่ม นอกจากเมนูชากาแฟ ทางร้านก็มีบริการน้ำชาฟรีด้วย
เมนูแซนวิชแฮมไข่ ไข่ดาวกรอบๆ กับแฮมชิ้นใหญ่ๆ ประกบด้วยขนมปังปิ้งร้อนๆ ที่หั่นมาอย่างพอดีคำ จิ้มกินกับซอสผสม 3 ชนิด บอกเลยว่าเมนูนี้ต้องสั่งกิน!!
เมนูไข่ 1+4 ทอปปิ้ง เป็นเมนูไข่กวนและจัดเต็มทอปปิ้งด้วย แฮม เบคอน ไส้กรอก กุนเชียง
หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเช้าแล้ว เริ่มเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปกันเลยดีกว่า จากร้านออน ล็อก หยุ่น เราเดินทางไปยัง มิวเซียมสยาม โดยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ลงที่สนามไชย ทางออกประตู 1 บอกเลยว่าสะดวกสุดๆ เพราะบันไดเลื่อนทางขึ้น-ลงอยู่ในมิวเซียมสยามเลย เพียงแค่ขึ้นมาจากบันไดเลื่อนก็เห็นตัวอาคารสีเหลืองสะดุดตาเลย จากตรงนี้เราแวะเช็คอิน เดินเล่น หามุมสวยๆ ถ่ายรูปรอบมิวเซียมกันหน่อย
สำหรับมิวเซียมสยามเป็นพิพิภัณฑ์ที่ให้ความรู้และบอกเล่าเรื่องราวของชาวไทยตั้งแต่ในอดีต นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการอื่นๆ ที่จะผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละช่วง ถ้าใครสนใจก็สามารถแวะเข้ามาเยี่ยมชมนิทรรศการภายในได้ แต่ในวันนี้จุดหมายการเดินทางเราจะไม่จบแค่ที่นี่ ดังนั้นก็ขอเดินเก็บบรรยากาศรอบๆ ก่อนละกัน
บริเวณรอบๆ ของมิวเซียมค่อนข้างมีพื้นกว้างขวาง มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลย และถ้าใครเดินเหนื่อยแล้วก็มีสนามหญ้าไว้นั่งพักผ่อนด้วย
ออกจากมิวเซียมสยาม เดินทางมาสัมผัสย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของพระนครอย่าง ท่าเตียน ชุมชนเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นหลักฐานทางเวลาที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของวัด พระราชวัง ชุมชน และตลาด อีกทั้งในอดีตยังเป็นท่าเรือริมน้ำเจ้าพระยาอันเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันทางเรือด้วย จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ชุมชนท่าเตียนได้มีการเปลี่ยนไปตามยุคสมัยต่างๆ แต่อย่างไรก็ยังคงเอกลักษณ์และวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างชาติต่างต้องแวะมา
บริเวณท่าเตียนในปัจจุบันก็รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวมากขึ้น มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของ ที่พัก และคาเฟ่จำนวนมาก มาเดินเล่นชิลล์ๆ ช้อปปิ้งเพลินๆ และสัมผัสมนต์เสน่ห์ความคลาสสิกของสถาปัตยกรรม ตัวอาคารสีเหลืองดั้งเดิมที่ถูกสร้างมาตั้งสมัยรัชการที่ 5
ในระหว่างที่เราเดินเล่นก็มีโอกาสได้เจอสายตรวจม้าลาดตระเวนที่คอยรักษาความปลอดภัยรอบๆ วัดพระแก้ว สำหรับคนเมืองอยากเรา การเจอม้ากลางเมืองแบบนี้สร้างความประหลาดใจมากๆ แต่ก็ดูเท่และเข้ากับบรรยากาศย่านเมืองเก่าอยู่นะ
ใช่แล้ว!! จุดเช็คอินถัดมาก็คือ วัดพระแก้ว เป็นวัดที่มีความสำคัญและสวยงามมากๆ แห่งหนึ่งของประเทศไทยเลย เชื่อว่าหลายคนที่มาแถวสนามหลวงต้องไม่พลาดเข้าไปชมความงามของวัดพระแก้ว
สนามหญ้าหน้าวัดที่เป็นจุดไฮไลท์ของวัดพระแก้ว ใครมาก็ต้องถ่ายรูปให้ได้
วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นหนึ่งในวัดสำคัญที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และยังเป็นวัดที่อยู่ในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือที่เราเรียกพระแก้วมรกต อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ภายในวัดมีสถานที่ที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ดังนั้นไม่ว่าจะด้านความสวยงามหรือความสำคัญของวัดพระแก้ว ล้วนแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องเดินทางสักครั้งหนึ่ง
พระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต โดยจะมีเหตุการณ์สำคัญอย่างพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือการเปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นในทุกๆ ปี
ข้างๆ กับพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของกลุ่มฐานไพทีซึ่งเป็นฐานยกพื้นขนาดใหญ่ รองรับปูชนียสถานและปูชนียวัตถุที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร พระสุวรรณเจดีย์ 2 องค์ นครวัดจำลอง
นครวัดจำลองเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในวัดพระแก้วและเป็นความงามที่ต้องแวะมาชมด้วยตาตัวเองเท่านั้น
ระเบียงทางเดินรอบพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งประกอบด้วยภาพทั้งหมด 178 ภาพ นอกจากนี้ยังเป็นจิตรกรรมไทยแบบประเพณีที่เขียนด้วยสีฝุ่น โดยเริ่มเขียนครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 และก็ได้รับการดูแลและเขียนซ่อมแซมเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน สำหรับเราที่เรียนวรรณกรรมเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก การเดินชมภาพฝาผนังนี้ก็เพลิดเพลินมากๆ
อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ความสวยงามภายในวัดพระแก้วก็คือ ปราสาทพระเทพบิดรซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจัตุรมุขทรงไทย หลังคายกยอดปราสาทแบบปรางค์ เป็นความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่ห้ามพลาด
ใกล้ๆ กับวัดพระแก้ว เดินมาหน่อยก็จะเจอกับ ท่าช้าง สถานที่ที่มีความเชื่อมโยงกับพระราชวังโดยตรง ในอดีตเป็นจุดที่นำช้างเลี้ยงในพระบรมมหาราชวังมาอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเรียกกันติดปากมาเรื่อยๆ ว่าท่าช้าง ถึงแม้ในปัจจุบันจะไม่ได้เป็นจุดอาบน้ำช้างแล้ว แต่ก็ยังคงมีความสำคัญต่อการสัญจรทางน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเป็นทั้งท่าเรือข้ามฟากและจุดจอดรับ – ส่งของเรือด่วนเจ้าพระยา ดังนั้นใครที่จะเดินทางมาวัดพระแก้วก็สามารถนั่งเรือมาลงที่ท่าช้างได้
ตัวอาคารแถบนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก โดดเด่นด้วยตัวอาหารสีเหลืองเข้มตัดกับประตูและหน้าต่างสีฟ้า ถ่ายรูปออกมาดูสดใส น่ารัก และฮิปสุดๆ
เดินกันมาสักพักใหญ่แล้ว มานั่งพักและหาอะไรกินรองท้องเบาๆ กัน เพียงเดินเข้ามาในท่ามหาราช ไม่ไกลทางทางเข้า เยื้องมาทางขวามือหน่อยจะเจอกับร้าน Favour Cafe คาเฟ่บรรยากาศชิลล์ๆ ที่มีการตกแต่งสไตล์ลอฟท์ ดูเท่ด้วยผนังปูนเปลือยและอิฐสีขาวตัดกับสีดำของโครงเหล็ก โครงหน้าต่าง แต่ก็ไม่ได้ดูกระด้างเกินไป เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นด้วยโทนสีน้ำตาลจากเฟอร์นิเจอร์ แสงไฟสีส้มสลัวๆ และสีเขียวจากต้นไม้ ตัวร้านแม้ว่าจะมีขนาดเล็กแต่มีการจัดสรรพื้นที่ออกมาได้อย่างดี มีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายแบบ
ความพิเศษของร้าน Favour Cafe ก็คือใช้เครื่องทำกาแฟดั้งเดิมของคนอิตาลีที่เรียกว่า moka pot ซึ่งทำให้กาแฟมีรสชาติและกลิ่นที่เข้มข้น ทางร้านยังได้คิดค้นและปรับสูตรมาเรื่อยๆ จนได้รสชาติกาแฟที่มีเอกลักษณ์ สำหรับคอกาแฟแนะนำให้ลองมาชิมกาแฟร้านนี้เลย
ภายในร้านมีกระจกบานใหญ่ทำให้ร้านดูโล่งโปร่งและไม่รู้สึกอึดอัด
เมนูของทางร้านมีให้เลือกมากมายทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม เดินทางมาเหนื่อยๆ แนะนำเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นอย่างสมูทตี้มะม่วงโยเกิร์ต รสนัวสุดๆ มันคือความเข้ากันของมะม่วงและโยเกิร์ต พร้อมกับออนท็อปด้วยเนื้อมะม่วงเป็นชิ้นๆ กินแบบเต็มๆ คำ เพิ่มความฟินอย่างที่สุด หรือจะอัดฉีดคาเฟอีนให้ร่างกายกับเมนูอเมริกาโน่ ส้ม ยูซุ กลิ่นส้มยูซุสดชื่นมาก จิบควบคู่กับอเมริกาโน่เข้มข้น ช่วยลดความเหนื่อยล้าไปได้เลย
เติมพลังกันด้วยของคาวกับ สปาเก็ตตี้ใบโหระพาและเบคอน หน้าตาน่ากินจริงๆ สปาเก็ตตี้ผัดมาแห้ง ใส่เบคอน มะเขือเทศ มะกอก และใบโหระพา นำมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน บอกเลยรสชาติดีงามและหอมใบโหระพามาก
ขนมหวานอีกเมนูที่ช่วยให้เรากระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เลมอนพาย รสชาติถึงใจสุดๆ ด้วยรสเปรี้ยวอมหวานตัดกับความเค็มหน่อยๆ ของตัวฐานบิสกิต นั่งกินเพลินๆ ก็หมดแบบไม่รู้ตัว
ตอนนี้ท้องเราได้รับการเติมเต็มและพร้อมเดินทางต่อแล้ว มาเดินย่อยอาหารใน ท่ามหาราช คอมมูนิตี้ มอลล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความทันสมัยในย่านกรุงเก่า บรรยากาศชิลล์แบบสุดๆ ภายในเป็นศูนย์รวมร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านขายของ รวมถึง co-working space เรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบของวัยรุ่น เหมาะกับการมาพบปะเพื่อน เดินเล่นเที่ยวริมแม่น้ำ รับลมสบาย และนั่งพูดคุยมาก
สายชิคต้องมาเช็คอินที่ท่ามหาราช มุมถ่ายรูปสวยๆ เก๋ๆ เต็มไปหมด อัปลงโซเชียลได้ยาวๆ
ท่ามาหาราชมาช่วงไหนก็ได้ อย่างเรามาเดินเล่นช่วงบ่ายๆ อากาศไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิด เพราะสถานที่มีความกว้างและโล่งโปร่ง สามารถรับลมสบายๆ จากแม่น้ำ ทำให้เดินถ่ายรูป แวะชอปปิ้งได้อย่างชิลล์ หรืออีกบรรยากาศในช่วงเย็นก็ดีงามไม่แพ้กัน รอดูพระอาทิตย์ตกและสีสันจากแสงไฟที่ประดับประดาในยามค่ำคืนก็สวยมาก
ถัดจากท่ามหาราช เดินมาอีกหน่อยก็คือ ท่าพระจันทร์ เป็นอีกชุมชนเก่าแก่อยู่เคียงคู่กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีเรื่องราวและวิถีชีวิตน่าสนใจ นอกจากเป็นท่าเรือที่ใช้สำหรับข้ามฟากไปยังท่าวังหลังและเป็นท่าสำคัญใช้จอดรับ – ส่งผู้โดยสารจากเรือด่วนเจ้าพระยาแล้ว บริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นมากมาย ตลาดพระเครื่องที่เก่าแก่ ร้านแผงลอยที่ชวนให้เราได้ซื้อกินจุกจิก พูดแล้วก็แวะร้านแรกเลยคือร้าน อร่อย ตั้งอยู่ตรงหัวมุมท่าพระจันทร์ ร้านที่เปิดมายาวนานกว่า 20 ปี แนะนำเลยว่าเป็นของฝากที่ต้องซื้อ!!
ขนมปังของร้านอร่อยจะมีอยู่ 2 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ ขนมปังกรอบอบเนยและขนมปังกรอบอบกระเทียม เลือกซื้อได้ทั้งแบบถุงและกล่อง
อดใจไม่ไหวจริงๆ ต้องซื้อของกินระหว่างทางตลอด
สรุปแล้วซื้อของกินมาเต็มสองมือเลย
จากท่าพระจันทร์เดินทะลุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็น ท่าพระอาทิตย์ สถานที่สุดท้ายที่ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ของชุมชนและตึกอาคารที่มีสถาปัตยกรรมคลาสสิกแบบดั้งเดิม เป็นที่ที่เหมาะกับการเดินเล่นชิลล์ๆ เสพอาร์ต กินอาหารอร่อยๆ นั่งตากแอร์ จิบกาแฟสบายๆ พร้อมกับดื่มด่ำเสน่ห์แห่งเมืองเก่า นอกจากนี้ที่ท่าพระอาทิตย์ยังมีสถานที่สำคัญที่น่าแวะไปเที่ยวอย่างป้อมพระสุเมรุ พิพิธภัณฑ์บางลำพู สวนสันติชัยปราการ
มาถึงจุดสุดท้ายของทริป แวะเข้ามานั่งพักผ่อนและกินของจุกจิกที่ซื้อมาจากท่าพระจันทร์ใน สวนสันติชัยปราการ เป็นสวนสาธารณะที่อยู่เคียงคู่กับป้อมพระสุเมรุ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสวนเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง คนไม่เยอะ บรรยากาศเงียบสงบและที่สำคัญติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เราสามารถนั่งชิลล์ๆ พักความเหนื่อยจากการเดินทางตลอดทั้งทริป เปิดรับอากาศปลอดโปร่งทั้งจากต้นไม้และแม่น้ำ
จากสวนสาธารณะ เราสามารถมองเห็นสะพานพระราม 8 เหนือแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่กำลังลับขอบฟ้า บรรยากาศชิลล์ๆ กับวิวหลักล้านช่วยฮีลใจและทำให้เราหายเหนื่อยจริงๆ
พระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลาลับไปก็เป็นเวลาจบทริปที่สวยงามของพวกเราในวันนี้
จบวันเดย์ทริปแล้ว~ เป็นอย่างไรกันบ้างกับ One Day Trip | เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ เช็คอิน 5 ท่าเรือ บอกเลยว่าเป็นทริปที่เกินความคาดหมายจริงๆ มันอาจจะดูเหนื่อยและระยะทางดูไกลไปบ้าง แต่เดินกับเพื่อนชิลล์ๆ แวะซื้อของกินจุกจิก เดินถ่ายรูปมาตลอดทาง เผลอแป๊บเดียวก็จบวันแล้ว ถ้าใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเที่ยวเล่นแบบนี้รีบชวนเพื่อนแล้วตามรอยมาเลย หรือใครอยากจัดทริปเที่ยววันเดียวที่อื่นก็ลองมาดูได้ที่ One Day Trip | เที่ยวชิลล์ๆ เดินทางง่าย ตามรถไฟฟ้าสายสีแดง และ One Day Trip | เที่ยวสระบุรี กับงบที่มีไม่เกิน 1,000