กาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟสุดชิลล์ งบ 3,000 คนเดียวก็เที่ยวได้!
35,774 ครั้ง
11 ต.ค. 2565
35,774 ครั้ง
11 ต.ค. 2565
กาญจนบุรี เมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพยอดนิยม ด้วยความสวยงามของธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวสุดโดดเด่นมากมาย รวมทั้งจุดเช็คอินที่เป็นสถานที่ในประวัติศาสตร์ จึงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนเข้ามาใช้เวลาพักผ่อนกันอยู่เสมอๆ ในวันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาเพื่อนๆ ไปพักกาย ผ่อนคลายใจท่ามกลางธรรมชาติกันแบบชิลล์ๆ กันสักหน่อยกับ กาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟสุดชิลล์ งบ 3,000 คนเดียวก็เที่ยวได้! ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ตามไปเติมความสดชื่นกันดีกว่า
เราเริ่มต้นการเดินทางสู่กาญจนบุรีด้วยรถไฟ สายธนบุรี – น้ำตก ซึ่งขบวนที่เราขึ้นเป็นขบวนแรก ออกจากสถานีธนบุรี กรุงเทพฯ เวลา 07.45 น. แอบกระซิบเลยว่ารถไฟมาตรงเวลามากๆ หลังจากรถไฟออกจากสถานีต้นทางได้สักพัก บรรยากาศสองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนไปตามช่วงที่ทางรถไฟตัดผ่าน ทั้งท้องทุ่งสีเขียว หมู่บ้าน หรือบางช่วงก็เป็นเมือง นั่งมองข้างทางไปเพลินๆ ชิลล์มากๆ
นั่งรถไฟยาวๆ ไม่ต้องกลัวหิว! เพราะเรามีน้ำมะพร้าว 100% จากธรรมชาติ UFC Refresh ที่อัดแน่นไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญถึง 5 ชนิด ได้แก่แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโซเดียม บอกเลยว่ากล่องนี้กล่องเดียวเท่ากับมะพร้าว 1 ลูก! และนอกจากนี้บางช่วงที่จอดตามสถานีต่างๆ ก็จะมีพ่อค้า แม่ค้านำของมาขายบนรถไฟเพียบ มีทั้งอาหาร ขนม และผลไม้ตามฤดูกาล ราคาก็เป็นกันเองมากๆ เลยด้วย ครั้งนี้เราได้เกี๊ยวทอดและขนมหน่อไม้มารองท้อง กินคู่กับน้ำมะพร้าวสดชื่นสุดๆ
เมื่อขบวนรถไฟเดินทางมาถึงกาญจนบุรี ก็จะผ่านเส้นทางที่เป็นอันซีนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความสวยงาม โดยจุดแรกก็คือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงที่สองก็คือถ้ำกระแซ นั่งอยู่บนรถไฟ ได้กดชัตเตอร์รัวๆ เลยล่ะ
เดินทางได้ราวๆ 3 ชั่งโมง เราก็มาถึงสถานีสะพานถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นสถานีปลายทางทริปกาญจนบุรีในครั้งนี้ โดยสถานีสะพานถ้ำกระแซเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต่างพากันมาเยี่ยมชมบรรยากาศ ศึกษาเรื่องราวของเส้นทางรถไฟที่เรียกกันว่า “เส้นทางรถไฟสายมรณะ” ซึ่งที่มาของชื่อทางรถไฟสายมรณะนั้นมาจากเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ขึ้น แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา ประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บ สภาพอากาศ ความอ่อนล้า รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ จึงทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตเหล่าเชลยนับไม่ถ้วนนั่นเอง
จากตัวสถานีเราเดินย้อนกลับมาไม่ไกล จะพบกับถ้ำกระแซที่ตั้งอยู่ริมเส้นทางรถไฟ โดยภายในมีองค์หลวงพ่อถ้ำกระแซ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ และดอกไม้ธูปเทียนให้ได้กราบเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย นอกจากนี้เมื่อเดินเข้าสู่ภายในโถงของถ้ำ มีจุดหินงอกหินย้อยที่มีความอัศจรรย์ คือมีลักษณะคล้ายกับใบหน้าของคน และภายในถ้ำเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รังสรรค์มาอย่างอลังการ ไม่ว่าจะยืนถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมดทุกมุมจริงๆ
ออกจากถ้ำกระแซ เดินตามรางรถไฟมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับความตื่นเต้นที่แทรกเข้ามาเป็นช่วง เพราะเส้นทางที่เรากำลังเดินนั้นเป็นรางที่เลียบระหว่างหน้าผาสูงและแม่น้ำไปพร้อมๆ กัน สะพานที่รองรับรางอยู่นั้นเป็นสะพานและเสาไม้ที่เสริมแข็งแรงและมั่นคงอย่างดี ตลอดรางรถไฟต่างก็มีนักท่องเที่ยวเดินชมความสวยงามของภาพวิวแม่น้ำแควน้อย และดื่มด่ำบรรยากาศกันเป็นจำนวนมาก
โดยเส้นทางรางรถไฟบริเวณสะพานถ้ำกระแซสายนี้มีความคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามแนวเขาชันและแม่น้ำแควน้อยที่มีความสูงกว่า 10 เมตร ด้วยความยากลำบากของการก่อสร้างที่เหล่าเชลยแรงงานที่ต้องใช้เชือกผูกเอวเพื่อโหนตัวลงมาสกัดหินเพื่อทำรางรถไฟ และด้วยความไม่มั่นคงของเสาไม้ที่ใช้ค้ำยัน รวมทั้งความเร่งด่วนของการก่อสร้างจึงเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟญี่ปุ่นที่ใช้เส้นทางนี้เป็นครั้งแรกตกลงสู่แม่น้ำแคว และเสียชีวิตทั้งหมด บริเวณสะพานถ้ำกระแซจึงได้ชื่อว่า “โค้งมรณะ”
เดินมาจนสุดเส้นทางสะพานถ้ำกระแซ ก็จะถึงที่พักของเราในทริปกาญจนบุรีครั้งนี้ นั่นก็คือ สวนไทรโยค รีสอร์ท ที่พักกาญจนบุรีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควน้อย มีไฮไลท์ที่โดดเด่นที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วก็คือจากสนามหญ้ากว้างของที่พักสามารถมองเห็นบ้านพักรูปทรงน่ารักสามหลังเรียงกันโดยมีเส้นทางรถไฟสะพานถ้ำกระแซเป็นฉากหลัง ให้ฟีลบรรยากาศเหมือนอยู่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกที่ญี่ปุ่น ยังไงอย่างงั้น บอกเลยว่าเป็นภาพที่สวยจนอดถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้เลย
ได้มาพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ของธรรมชาติแบบนี้ ถือว่าดีต่อใจเป็นที่สุด และยิ่งมีเครื่องดื่มที่เติมความสดชื่นด้วยความหวานจากธรรมชาติ อย่างน้ำมะพร้าว 100% UFC Refresh กล่องนี้แล้ว ก็ยิ่งเติมเต็มความสุขมากขึ้นไปอีก ได้ครบทั้งสุขภาพใจและดีต่อสุขภาพกายสุดๆ
ห้องพักของสวนไทรโยคมีให้เลือกอยู่อย่างหลากหลายที่สามารถรองรับความต้องการและตอบโจทย์การพักผ่อนในแบบต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งห้องพักที่เราเลือกเอนกายกันในคืนนี้ก็คือห้องกระแซวิลล่า (Krasae Villa) ที่มีลักษณะเป็นบ้านไม้หลังเล็กทรงสามเหลี่ยม ที่ตั้งเรียงกันอยู่ติดกับแนวเขาและลานหญ้ากว้าง ซึ่งมีเพียง 3 หลังเท่านั้น เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนแบบคนเดียว หรือจะมาเป็นคู่ก็อบอุ่นน่ารัก ซึ่งช่วงที่เราเข้าพักเป็นช่วงที่สวนไทรโยคมีแพ็คเกจที่รวมราคาที่พัก อาหาร 3 มื้อ (มื้อเย็น, มื้อดึก และมื้อเช้า) และกิจกรรมล่องแพเปียก ไว้ด้วยกัน โดยห้องกระแซวิลล่าราคาเพียงแค่ 2,000 บาท/คนเท่านั้น บอกเลยว่าคุ้มค่าสุดๆ
ภายในห้องพักให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นที่สุด ด้วยพื้นที่ที่กำลังพอเหมาะกับการเข้าพัก 1 – 2 คน รวมทั้งสไตล์การตกแต่งที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป บนหัวเตียงมีผ้าที่จำลองที่นอนแบบกระโจมให้ได้นั่งถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วย ด้านข้างเตียงเป็นพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งจะเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ริมหน้าต่าง ให้ได้นั่งมองวิวลานกว้างด้านนอกได้ อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ก็ครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ไดร์เป่าผม และเครื่องทำน้ำอุ่น นอนพักได้แบบสบายๆ กันไปเลย
เก็บกระเป๋ากันในห้องพักเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมานั่งใช้เวลาสบายๆ ในช่วงบ่ายคล้อยกันที่ร้าน Flot Drip Coffee ซึ่งเป็นร้านกาแฟบนแพริมน้ำที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนไทรโยค โซนที่นั่งของร้านมีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโซนอินดอร์ในห้องกระจกเย็นๆ และโซนเอาท์ดอร์ระเบียงริมน้ำให้ได้นั่งฟังเสียงน้ำ พร้อมกับดื่มด่ำความสงบของธรรมชาติได้แบบ HD
นั่งพักชิมกาแฟอร่อยๆ กันแล้ว ก็มาลุยกิจกรรมยอดนิยมของสวนไทรโยคที่เรียกว่าพลาดไม่ได้เลยกันต่อกับ กิจกรรมล่องแพเปียก โดยช่วงเวลาที่จัดกิจกรรมจะเป็นช่วง 16.00 – 16.30 น. ของทุกวัน หลังจากสวมเสื้อชูชีพเรียบร้อยแล้ว แพก็จะค่อยๆ ล่องไปตามแม่น้ำแควน้อย สามารถนั่งรับลมเย็นๆ เอาเท้าแช่น้ำ พร้อมกับชมวิวความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ และสะพานถ้ำกระแซไปพร้อมๆ กัน และเมื่อล่องมาได้ราว 2 กิโลเมตร เรือลากก็จะกลับลำ ซึ่งจากจุดนี้สามารถกระโดดลงน้ำ แล้วลอยคอมาตามสายน้ำไหลมาจนถึงหน้าที่พักได้เลย
เดินทางและทำกิจกรรมกันมาทั้งวันแล้ว เราปิดท้ายวันด้วยมื้อเย็นแบบจัดเต็ม ห้องอาหารของสวนไทรโยคตั้งอยู่ติดกับลานหญ้ากว้าง ที่สามารถมองเห็นมุมไฮไลท์ของที่พักในยามค่ำคืนได้แบบพาโนราม่า เป็นการกินมื้อเย็นที่บรรยากาศดีเป็นอย่างมาก นอกจากจะอากาศดี มีลมอ่อนๆ พัดอยู่เสมอแล้ว ยังได้ชมวิวความสวยงามอีกด้วย
เมนูอาหารได้รวมอยู่ในแพ็คเกจที่ทางสวนไทรโยคจัดให้ มีทั้งปลาทับทิมทอดกระเทียมที่เนื้อปลากรอบนอกนุ่มในเต็มคำ พร้อมกับกระเทียมเจียวหอมๆ ยำสาวไทรโยค ใส่มาครบเครื่องหลากหลายวัตถุดิบ ผัดวุ้นเส้นท่าเรือรสกลมกล่อม ต้มยำเห็ดโคนที่มีตามฤดูกาลและไม่ได้หากินกันง่ายๆ นอกจากนี้ยังปิดท้ายมื้อด้วยผลไม้หวานฉ่ำ
ตอนกลางคืนทางสวนไทรโยคจะเปิดไฟที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม อย่างบาร์ไม้ที่ได้จำลองการนั่งรอบกองไฟมาไว้กลางลานกว้าง สามารถไปนั่งชิลล์ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศได้ยาวๆ กันไปเลย
เช้าวันที่สอง อากาศแจ่มใสมาพร้อมกับบรรยากาศดีๆ ริมแม่น้ำ อาหารเช้าของสวนไทรโยคเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์ ให้ผู้เข้าพักได้เลือกหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นแบบ breakfast ที่มีทั้งไข่ดาว แฮม ไส้กรอก และสลัดผัก หรืออาหารอย่างผัดกะเพรา หมี่ซั่ว ข้าวต้มไก่สับ รวมทั้งขนมปังปิ้ง และซีเรียล
ก่อนเช็คเอาท์ เดินเล่นชมบรรยากาศกันอีกสักหน่อย พร้อมกับเติมเต็มความสดชื่นของเช้าวันสบายๆ ด้วยการดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติอย่างน้ำมะพร้าวแท้ 100 % UFC Refresh ไปด้วย บอกเลยได้ทั้งความสดชื่น ได้ทั้งสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
เช็คเอาท์ออกจากที่พักกันแล้ว เราก็เช่ารถ (ราคาขึ้นอยู่กับการตกลง ใครสนใจสามารถให้ทางที่พักแนะนำได้เลย) แล้วขับมาเที่ยวกันต่อที่ วอนแดซอง (Won Dae Song) สถานที่ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของกาญจนบุรีที่ได้ชื่อว่า “เกาหลีกาญจนบุรี” ด้วยโลเคชั่นที่อยู่ติดกับเชิงเขาสูงและมีทุ่งดอกไม้กว้าง รวมทั้งการจัดสวนแบบเกาหลีด้วยการจำลองพรรณไม้เปลี่ยนสีต่างๆ จึงทำให้บรรยากาศของวอนแดซองเหมือนกับอยู่บนเกาะเซจู ประเทศเกาหลียังไงอย่างงั้น
ทั่วทั้งพื้นที่ของวอนแดซองมีมุมถ่ายรูปเพียบ ตั้งแต่ประตูทางเข้าสวน มุมที่นั่งต่างๆ ที่กระจายกันอยู่ในสวน รวมทั้งตัวอาคารต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตามชนบทของเกาหลีอย่างมาก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยสุดๆ ไปเลย
มาเกาหลีกาญจนบุรีทั้งที จะให้ดีต้องเปลี่ยนชุดให้เข้ากับบรรยากาศกันสักหน่อย ซึ่งทางวอนแดซอง ก็มีบริการชุดเกาหลีให้ได้เลือกเช่ากันอีกด้วย บอกเลยว่ามีหลากหลายรูปแบบทั้งชุดของผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ อีกเพียบ และที่สำคัญไม่จำกัดเวลา เรียกได้ว่าใส่ได้ทั้งวันยาวๆ กันไปเลย นอกจากนี้ชุดแต่ละชุดที่ผ่านการเช่าไปแล้ว ทางวอนแดซองก็จะนำไปซักใหม่ เพื่อทำความสะอาดทันที ทั้งหลากหลาย ทั้งสะอาด โดยราคาจะอยู่ที่ชุดละ 200 บาท ส่วนเครื่องประดับก็จะชิ้นละ 10 บาทเท่านั้น
เปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาหามุมถ่ายรูปสวยๆ กันต่อเลย อย่างมุมที่เป็นเนินเล็กๆ มีใบไม้เปลี่ยนสี มองเห็นตัวอาคารทรงเกาหลีและเนินเขาด้านหลัง หรือจะถ่ายกับต้นซากุระสีชมพูที่บานสะพรั่งก็ให้ฟีลเหมือนอยู่เกาหลีมากๆ
นอกจากบรรยากาศและชุดของเราจะเกาหลีสุดๆ แล้ว ที่นี่ยังมีคาเฟ่บรรยากาศดี เป็นตัวอาคารเปิดโล่งตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นทุ่งดอกไม้ และแนวเขาได้แบบพาโนราม่าอีกด้วย
เมนูอาหารและเครื่องดื่มก็จัดเต็มความเป็นเกาหลีสุดๆ เพราะใช้วัตถุดิบส่งตรงจากเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดกิมจิ ต๊อกบกกี ซุปกิมจิ และเมนูซิกเนเจอร์อย่างไก่ทอดวอนแดซอง รวมทั้งเมนูอื่นๆ อีกเพียบ!
มาเช็คอินกันต่อที่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แลนด์มาร์กชื่อดังของเมืองกาญจนบุรีที่เป็นที่รู้จักทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแควแห่งนี้เป็นอนุสรณ์ที่ได้เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสร้างขึ้นจากโครงเหล็กรูปทรงเรขาคณิตเพื่อใช้เป็นเส้นทางข้ามแม่น้ำแควของขบวนรถไฟในอดีตที่มีความยาว 323 เมตร ไฮไลท์ของสะพานข้ามแม่น้ำแควก็คือนักท่องเที่ยวสามารถยืนบนสะพานเพื่อชมขบวนรถไฟเคลื่อนผ่านได้แบบใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เวลาชิลล์ๆ บนสะพานอย่างการเดินเล่น หามุมถ่ายรูปสวยๆ โดยมีขอบสะพานรูปทรงเรขาคณิตเป็นฉากหลังเท่ๆ หรือจะชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำแควใหญ่และเรือนแพสองฝั่งฟากแม่น้ำ รวมทั้งแนวเขาสีเขียวที่ตัดกับท้องฟ้าก็ฟินสุดๆ
หลังจากชมวิวแม่น้ำแควใหญ่กันแล้ว เราก็มาเดินเล่นชมความงามของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่กันต่อที่ ถนนปากแพรก ถนนสายประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองและเป็นที่ตั้งของชุมชนที่เก่าแก่ของกาญจนบุรีที่มีอายุกว่า 117 ปี โดยถนนปากแพรกนับว่าเป็นถนนสายคอนกรีตสายแรกของเมืองกาญจนบุรีอีกด้วย ซึ่งเราเริ่มเดินกันตั้งแต่จุดที่เป็นที่ตั้งของประตูเมืองกาญจนบุรี ที่เป็นประตูก่ออิฐถือปูนที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3
เดินถัดจากประตูเมืองกาญจนบุรีเรื่อยมาทางทิศเหนือ เราก็จะพบกับ บ้านสิทธิสังข์ อาคารเก่าแก่สีเหลืองที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสมผสานกับความเป็นจีนที่ให้กลิ่นอายความเป็นวินเทจอย่างเต็มเปี่ยม มีอายุนับตั้งแต่ พ.ศ.2463 นอกจากนี้สีเหลืองของตัวอาคารยังใช้สีธรรมชาติที่ทำมาจากดินผสมกับน้ำข้าวเหนียวซึ่งได้เปิดเป็นร้านกาแฟชิคๆ ให้ได้เข้าไปนั่งพัก พร้อมกับดื่มด่ำความงามของอาคารโบราณกันแบบชิลล์ๆ อีกด้วย
ตัวร้านมีที่นั่งให้เลือกทั้งโซนอินดอร์ที่อยู่ในอาคารที่ตกแต่งด้วยของเก่าสุดคลาสสิค พร้อมกับชุดที่นั่ง โซฟาชุดเก่า พร้อมมุมถ่ายรูปต่างๆ เพียบ และโซนเอาท์ดอร์ที่เป็นโถงเปิดโล่งด้านหลัง นอกจากนี้ดาดฟ้าของบ้านสิทธิสังข์ยังเป็นจุดชมวิวชุมชนเก่าทั่วทั้งถนนปากแพรกแห่งนี้ อีกทั้งยังมองเห็นแม่น้ำแควใหญ่ได้แบบพาโนราม่าอีกด้วย
นั่งพักสักหน่อย พร้อมกับชิมเมนูกาแฟและขนมอย่างคาปูตาโน่ กาแฟร้อนกลมกล่อม มาพร้อมกับฟองนมนุ่มๆ ราคา 55 บาท และครัวซองต์แครนเบอร์รี่ไวท์ช็อคฉ่ำๆ 55 บาทเติมพลังก่อนออกไปเดินเที่ยวกันต่อ
นั่งพักกินกาแฟกันแล้ว เราก็มาเดินชมวิถีชีวิตของชาวชุมชนถนนปากแพรกกันต่อ ตลอดสองฟากถนนเต็มไปด้วยภาพความเก่าแก่ที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกที่ผสมผสานกับความเป็นตะวันตก คือความโดดเด่นที่ทรงคุณค่า และในปัจจุบันถนนสายนี้ยังคงคึกคักและคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย
ตลอดสองข้างทางที่เป็นบ้านเรือนอาคารโบราณ ก็ยังคงมีผู้อาศัยและเปิดร้านรวงต่างๆ เช่นเดียวกับในอดีต บ้านแต่ละหลังจะมีป้ายที่บอกเล่าถึงประวัติของตระกูลนั้นๆ ให้ได้ศึกษากันอีกด้วย เดินเล่นเรื่อยๆ ชมความสวยงามของวิถีชีวิตพร้อมกับดื่มน้ำมะพร้าว UFC Refresh ไปเพลินๆ บอกเลยว่าดีต่อสุขภาพทั้งใจและกายสุดๆ
ก่อนเดินทางกลับเราแวะมาที่จุดเช็คอินแห่งใหม่ของกาญจนบุรี ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมสดๆ ร้อนๆ กันที่ สกายวอล์คสองแคว – แม่กลอง ทางเดินกระจกใสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ ที่มีความยาวกว่า 150 เมตร จากบนสกายวอล์คสามารถมองเห็นแม่น้ำแควใหญ่ที่ไหลเอื่อยไปบรรจบกับน้ำแม่น้ำแควน้อย และจุดต้นน้ำแม่กลองที่เกิดจากการรวมกันของแม่น้ำแควสองสายที่มีแนวเขาสีเขียวขจีเป็นฉากหลังอีกด้วย
บรรยากาศรอบๆ สกายวอล์คก็เย็นสบาย เพราะมีสายลมอ่อนๆ พัดมาสัมผัสผิวอยู่เสมอๆ นอกจากวิวจะสวยแล้ว ยังได้รูปสวยๆ ไว้อัปลงโซเชียลอีกเพียบ!
ทั้งหมดนี้ก็คือ ทริปกาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟสุดชิลล์ งบ 3,000 คนเดียวก็เที่ยวได้ ที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุข สุขที่ได้จากการพักผ่อนและดื่มด่ำบรรยากาศดีๆ ท่ามกลางธรรมชาติ สุขที่ได้กินของอร่อยๆ และมีประโยชน์ สุขที่ได้คืนความสดชื่นให้ร่างกายได้ง่ายๆ สำหรับใครที่ลังเลและไม่แน่ใจว่าวันหยุดนี้จะไปเที่ยวเติมความสุขกันที่ไหน ขอแนะนำกาญจนบุรีเลย รับรองว่าไปแล้ว ได้รับความสดชื่น แถมได้ชาร์จพลังงานให้กลับมาพร้อมลุยงานกันต่ออย่างแน่นอน!
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปกาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟสุดชิลล์ งบ 3,000 คนเดียวก็เที่ยวได้!
– ค่าโดยสารรถไฟ (สถานีธนบุรี – สะพานถ้ำกระแซ) 35 บาท
– ค่าอาหารที่จำหน่ายบนขบวนรถไฟ 40 บาท
– ค่าที่พักสวนไทรโยค 2,000 บาท (ราคาแพ็คเกจอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
– ค่าเข้าชมวอนแดซอง 70 บาท
– ค่าบริการเช่าชุดวอนแดซองและค่าเครื่องประดับ 230 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มวอนแดซอง 618 บาท
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มบ้านสิทธิสังข์ 110 บาท
รวมทั้งสิ้น 3,103 บาท
**ไม่รวมค่าบริการรถเช่าและของฝาก**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ กาญจนบุรี 2 วัน 1 คืน นั่งรถไฟสุดชิลล์ งบ 3,000 คนเดียวก็เที่ยวได้! ที่จัดเต็มการพักผ่อน แถมยังได้ไปเช็คอินสถานที่อันซีนอีกด้วย ถ้าใครกำลังมองหาทริปง่ายๆ สบายๆ แต่สามารถเติมพลังกาย พลังใจได้แบบเต็มขั้น ก็ลองตามไปกันได้เลย สำหรับเพื่อนๆ คนไหนอยากเที่ยวเมืองกาญจน์ต่อเราก็มี 6 คาเฟ่กาญจนบุรี เปิดใหม่! สายถ่ายรูปเช็คอินห้ามพลาด มาแนะนำให้ลองไปตามเช็คอินกันด้วย