ทริปเลียบทะเลจันท์ 2 วัน 1 คืน “ให้เส้นทางพาเราไป”
17,769 ครั้ง
16 ธ.ค. 2564
17,769 ครั้ง
16 ธ.ค. 2564
วันหยุดน้อยไม่ใช่ปัญหา เพราะวันนี้เราจะพาทุกคนไปขับรถชิลล์ๆ ชมวิวข้างทางที่เป็นแผ่นน้ำไกลสุดลูกหูลูกตา ไปกับเส้นทางเลียบทะเล ที่ใช้เวลาเพียง 2 วันก็เก็บครบและดื่มด่ำกับบรรยากาศทะเลแบบเต็มร้อยกันที่ จันทบุรี เมืองที่มีเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นชุมชน กลิ่นอายวิถีชีวิต ร้านอาหารสุดชิคพร้อมวิวแบบรอบทิศที่มีแต่ทะเล และที่สำคัญใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่นานกับ ทริปเลียบทะเลจันท์ 2 วัน 1 คืน “ให้เส้นทางพาเราไป”
เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กันตั้งแต่เช้า ขับรถมาเรื่อยๆ สบายๆ ราว 4 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือ “จันทบุรี” เมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีหลักฐานคือสถานที่แรกที่เราไปเยือนกัน ชุมชนริมแม่น้ำจันทบูร ชุมชนที่มีอายุราว 300 ปีกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมเรื่องราวความงามในอดีตไว้ได้และส่งต่อมาถึงคนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ได้อย่างดี
สองฝั่นถนนเล็กๆ เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนที่มีทั้งทรงสมัยเดิมและปรับให้เข้ากับความเป็นสมัยใหม่ ช่างเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากๆ และสิ่งที่ทำให้เราท้องร้องได้ตลอดการเดินชมบรรยากาศเลยก็คือ ขนมไทยและเมนูของกินเล่นโบราณที่คุณลุงคุณป้าเอาออกมาตั้งโต๊ะเล็กๆ ขายหน้าบ้าน
กล้วยปิ้งร้อนๆ ของคุณป้า กลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งถนนแถวนั้นเลย
นอกจากนี้ตลอดเส้นทางในชุมชนเราจะได้เห็นกราฟฟิตี้สุดสร้างสรรค์อยู่เรื่อยๆ บอกเลยได้ชุมชนนี้เป็นสถานที่ที่กรุ่นไปด้วยความงาม ทั้งวิถีชีวิตและศิลปะ
ภาพอาคารเก่าที่ซ้อนกับภาพงานศิลปะ เป็นผลงานที่เก็บและสะท้อนการเดินทางของการเวลาได้เป็นอย่างดี นี่แหละที่เรียกว่า การผสมผสานของยุคสมัย
เดินเล่นชิลล์ๆ ได้สักพัก กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาเตะจมูกเรา จนต้องเดินตามหาที่มาของกลิ่นหอมนั้น และแล้ว เราก็เจอ! นั่นก็คือ ร้านก๋วยจั๊บป้าไหม ที่เปิดขายมากว่า 50 ปี ระหว่างเดินเข้าไปในร้านซึ่งเป็นตัวอาคารไม้โบราณ เราจะพบกับสตรีร่างเล็กที่ยืนอย่างแข็งแรง พร้อมกับท่าทางทำอาหารอย่างกระฉับกระเฉง
ก๋วยจั๊บที่สุดขึ้นชื่อของชุมชน ใช้เตาถ่านในการทำน้ำซุปที่ทางร้านเรียกว่าน้ำดำ กลิ่นหอมของเตาถ่านลอยผสานกับกลิ่นหอมของน้ำดำ อบอวลทั่วไปทั้งร้าน ลูกค้าทุกช่วงวัยต่างแวะเวียนกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่า เมนูก๋วยจั๊บของป้าไหมสุดจัดในย่านนี้! และที่สำคัญคุณป้าเปิดร้านทุกวัน ตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง ยาวไปจนถึง 3 โมงเย็น ไม่ว่าเพื่อนๆ จะมาวันไหนก็สามารถเข้ามาชิมรสชาติความอร่อยนี้ได้เสมอ!
น่าเสียดายมาก! เพราะวันที่เราไปเส้นก๋วยจั๊บหมด แต่คุณป้าก็บอกว่าที่นี่สามารถสั่งเป็นเมนูก๋วยเตี๋ยว แต่เป็นน้ำซุปก๋วยจั๊บได้ พอได้ลองกินบอกเลยว่านี่ขนาดเป็นเมนูลูกครึ่งยังอร่อยขนาดนี้ แล้วเมนูก๋วยจั๊บเต็มๆ จะขนาดไหนล่ะเนี่ย
หลังจากอิ่มท้องกับมื้อกลางวันแล้ว เราก็มาเดินหาของหวานเพิ่มพลังให้เต็มสูบกันต่อกับ ร้านไอศกรีม ตราจรวด ซึ่งเป็นโรงงานไอศกรีมที่ผลิตด้วยเครื่องจักรแห่งแรกของเมืองจันท์ การันตีความอร่อยด้วยระยะเวลาการขายที่ยาวนานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509
รสชาติของไอศกรีมได้ผ่านการสร้างสรรค์มาโดยตลอด นั่นเลยทำให้ไอศกรีมของที่นี่มีรสชาติให้เลือกอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ ไอศกรีมกระเบื้องรสนมสด และรสทุเรียน
ความกรอบของน้ำแข็งด้านนอกที่ทำหน้าที่เก็บซ่อนความอร่อยของรสชาติด้านในไว้ ทำให้ระหว่างการกัดและเคี้ยวไอศกรีม สนุกและเพลินมาก รสชาติข้างในก็ยอดเยี่ยมสมกับความเป็นเจ้าดังสุดๆ เป็นเมนูของหวานที่ทั้งถูกและดี สามารถเดินกินเพลินๆ ไประหว่างเดินเที่ยวได้เลย
จัดเต็มทั้งของคาวและของหวานไปแล้ว เดินมาอีกหน่อยเราก็จะเจอกับร้าน บางเวลากาแฟและแกลเลอรี่ ร้านกาแฟเล็กๆ ขนาดน่ารัก ที่มีงานอาร์ตที่เจ้าของทำเองวางเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณหน้าร้าน บ่ายๆ แบบนี้ กินอิ่มๆ มาขนาดนี้ ก็ต้องจัดกาแฟสิ จะรออะไร! แล้วระหว่างรอเครื่องดื่มก็จะมีบาร์เล็กๆ ให้ได้นั่งชิลล์ๆ มองภาพบรรยากาศชุมชนไปด้วย
ดูสิๆ ข้างแก้วเป็นรูปเจ้าของร้านเวอร์ชั่นการ์ตูนด้วย
ก่อนออกจากชุมชน เราแวะมาที่ บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรี อาคารไม้โบราณสุดคลาสสิก สถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางชุมชน พื้นที่ด้านล่างของอาคารเปิดเป็นโถงโล่งที่จัดแสดงเรื่องราวในอดีตไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย โบราณวัตถุ เอกสาร รวมทั้งตัวอาคารโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
พื้นที่ส่วนจัดแสดงมีชุดรับแขกให้นั่งชมบรรยากาศชุมชนแบบชิลล์ๆ และจะบอกว่าที่นี่เขามีบริการห้องพักด้วยนะ ซึ่งอยู่ในส่วนของชั้นสองของตัวอาคาร
หลังจากอิ่มหนำกับบรรยากาศและอาหารแล้ว เราก็ข้ามแม่น้ำจันทบูรมาฝั่งตรงข้ามกับชุมชนจะพบกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองจันท์ นั่นก็คือ โบสถ์วัดพระแม่ปฏิสนธินิรมล ซึ่งถือว่าเป็นโบสถ์นิกายคาทอลิกที่สวยที่สุดในไทยอีกด้วย
ตัวโบสถ์เป็นศิลปะแบบโกธิคที่เนรมิตอย่างสวยงาม ด้านหน้าของโบสถ์เป็นลานกว้าง และมีรูปเคารพของพระแม่วันทามารีอาที่งดงามตระหง่านอยู่ สัมผัสได้ถึงความสงบของบรรยากาศของบริเวณโบสถ์แบบสุดๆ
ด้านข้างของโบสถ์ก็เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ ได้เหมือนกันนะ รูปทรงของซุ้มหน้าต่างที่เรียงกันเป๊ะทุกบาน มองดูแล้วเพลินมากๆ ที่เขาบอกว่าสวยที่สุดในไทย เชื่อเลยว่าไม่เกินจริงแน่นอน เพราะสวยมากจริงๆ
หลังจากใช้เวลาชมความงาม ชิมความอร่อยกันไปพักใหญ่แล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังที่พักกันต่อ ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองราวๆ ครึ่งชั่วโมง เราก็จะมาถึงริมชายหาดที่ทอดยาวขนานไปกับถนน ใช่แล้วทุกคน! คืนนี้เราจะมาพักกายพักใจ นั่งฟังเสียงคลื่น นอนมองวิวทะเลกันที่ มัลดีฟส์ บีช รีสอร์ท
ห้องพักของเรา เป็นไงล่ะ ชิลล์สุดๆ ไปเลย เราเลือกห้อง Beachfront Honeymoon Suite ห้องที่เพียงแค่เปิดม่านก็มองเห็นทะเลแบบ 180 องศาไปเลย หรือแค่เดินลงจากระเบียงหน้าห้อง เท้าเราก็สัมผัสกับความละเอียดของทรายได้อย่างง่ายดาย และอีกอย่างคือภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบมากๆ โดยเฉพาะอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ที่จะทำให้การนอนแช่น้ำอุ่นๆ ผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก รับรองถ่ายรูปอัปลงโซเชียล เพื่อนๆ ต้องพากันอิจฉาชัวร์
นอกจากนี้ภายในโรงแรมก็ยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำที่เปิดโล่งเห็นภาพทะเลให้ได้มาแช่น้ำหรือว่ายน้ำเล่นอีกด้วย บอกเลยว่าความเหนื่อยล้าจากการเดินทางหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้ที่พักที่ผ่อนคลายสุดๆ แบบนี้
ก็ห้องพักมันติดทะเลอะเนอะ เราเลยมาใช้เวลาเดินเล่นชิลล์ๆ ริมชายหาด ดูพระอาทิตย์ตกกันแบบสบายใจ ลมเย็นๆ เสียงคลื่นๆ เบาๆ
มื้อเย็นของเรา! โต๊ะอาหารริมชายหาด อินกับความอร่อยของรสชาติอาหาร ดื่มด่ำไปกับความเบาสบายของบรรยากาศทะเลยามเย็น กินอาหารไปมองวิวทะเลไปบอกเลยว่ามื้อนี้ ฟิน!
เมนูอาหารแต่ละอย่างคือดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ข้าวอบสับปะรด ห่อหมกทะเล มัลดีฟส์ทะเลเดือด กุ้งผัดพริกเกลือ และรวมทะเลเผา นอกจากนี้ยังมีเมนูน้ำปั่นสุดฮิตที่จะมาเพิ่มความสดชื่นกับบรรยากาศทะเลให้เรานั่นก็คือ น้ำแตงโมปั่น และน้ำสับปะรดปั่น
บรรยากาศยามค่ำคืนของที่พัก แสงสีตระการตาสวยงามสุดๆ
เริ่มต้นวันเติมพลังกันก่อนจะออกไปเลียบทะเลกันต่อกับมื้อเช้ากันที่มัลดีฟส์ บีช รีสอร์ท ห้องอาหารของที่นี่มีอาหารให้เลือกเยอะมาก ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารญี่ปุ่นก็มีนะ ที่สำคัญเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย เรียกได้ว่าเป็นมื้อเช้าที่เพลิดเพลินมาก เพราะอร่อยทุกอย่าง แล้วก็คุ้มมากเพราะราคาอาหารรวมไปกับราคาที่พักแล้ว
เช้าๆ แบบนี้เราจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด แล้วก็เดินชิลล์ๆ ใต้ร่มเงาของต้นไม้นับหมื่นนับพัน! กับสถานที่แรกของวันที่ 2 นั่นก็คือ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน อ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเลย ขับรถแค่เพียง 5 นาทีก็ถึงแล้วทุกคน พื้นที่บริเวณนี้เป็นอาณาจักรของป่าชายเลนและสัตว์น้ำมากมายเลยทีเดียว
จอดรถแล้วเดินเข้ามาภายใน เราก็จะเจอกับป้ายที่มีโลโก้ดีไซน์ดีมาก เพราะเป็นรูปต้นโกงกางผสมกับพื้นที่ของอ่าวคุ้งกระเบน แล้วฉากหลังของป้ายก็คือความเขียวของเหล่าต้นไม้ บอกเลยว่าตรงนี้ไม่แวะถ่ายรูปไม่ได้แล้ว!
เดินตามทางไม้ผ่านอุโมงค์ต้นโกงกางเข้ามา เราก็จะพบกับวงเวียนที่ห้อมล้อมไปด้วยหมู่แมกไม้ เหมือนกับว่าลานตรงนี้เป็นห้องประชุมของธรรมชาติยังไงอย่างงั้น
นี่เลยความสนุกของที่นี่ ก็คือ สะพานไม้แขวน ที่ตั้งอยู่กลางป่า ระหว่างเดินข้ามก็ค่อยๆ จับมือคนข้างๆ ไป เป็นการเดินชมธรรมชาติที่อบอุ่นมาก
ท้องฟ้า ป่าไม้ และสายน้ำ ความสมดุลที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา สงบเหมาะกับอากาศยามเช้าเป็นที่สุด
และแล้ว สะพานไม้ก็นำเราออกมาพบกับเวิ้งน้ำที่กว้างขวางที่มีชื่อว่า “อ่าวคุ้งกระเบน” พื้นน้ำของบริเวณอ่าวถูกประดับไปด้วยเกลียวคลื่นที่พัดมาอย่างไม่ขาดสาย อากาศบริสุทธิ์ ลมเย็นๆ อยากจะเก็บอากาศที่นี่ใส่ขวดไปฝากเพื่อนๆ มาก ทางเดินบริเวณนี้ก็จะทอดขนานอยู่ตรงกลางระหว่างแนวป่าชายเลนและท้องน้ำ
นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์หมูดุด หรือพะยูน ตั้งอยู่ริมอ่าวอีกด้วย ซึ่งอนุสรณ์นี้ได้สร้างขึ้นมาเพราะว่าบริเวณอ่าวคุ้งกระเบนในอดีตเคยมีพะยูนเข้ามาหากิน
ด้านหลังนี้ก็คือหอดูนกที่สามารถขึ้นไปพักผ่อน มองวิวยอดไม้ และดูนกไปเพลินๆ ได้เลย การันตีว่าที่นี่นกเยอะมาก เพราะระหว่างทางที่เดินมาเราจะพบเห็นนกหลายชนิดตลอดทางเลย
หลังจากสูดอากาศบริสุทธิ์กันเต็มปอดแล้ว เราก็ขับรถมาอีกซีกหนึ่งของอ่าวคุ้งกระเบน เพื่อมาเช็คอินที่จุดชมวิวยอดฮิตของเมืองจันท์ นั่นก็คือ จุดชมวิวเนินนางพญา จุดชิมวิวที่เห็นความเวิ้งว้างสุดสายตาของทะเลอ่าวไทย เและนอกจากนี้ยังมีฉากหลังเป็นถนนเฉลิมบูรพาชลทิตที่มีความสวยงามเฉพาะตัวนั่นคือทางคดเคี้ยวทอดยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตั้งแต่ระยองไปจนถึงจันทบุรีกันเลยทีเดียว
ก่อนขึ้นไปจุดชมวิว เราจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศที่สวยมาก ตอนขับรถผ่านเส้นนี้แล้วลดกระจดลง ให้ร่างกายได้ปะทะกับสายลม ให้สายตาได้เห็นวิวชายฝั่งชัดๆ บอกเลยว่าอยากจะนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ
บนจุดชมวิวบรรยากาศดีมาก สีฟ้าของท้องฟ้ากับสีฟ้าของน้ำทะเลอยู่คู่กับเหมือนกับภาพสะท้อนยังไงอย่างงั้น แล้วยิ่งถ้ามาช่วงเย็นนะ เราจะมองเห็นภาพพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก ฟ้าคงเป็นสีทองฟุ้งเลยแหละ
ถ่ายภาพเช็คอินจุดนี้สักหน่อย เพราะมีฉากหลังเป็นทะเลครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นภาพเส้นถนน ช่างเป็นความต่างที่ลงตัวมากๆ
เรื่อยๆ มาตามเส้นทางเรียบทะเล ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็จะพบกับวัดปากน้ำแขมหนู ตั้งเด่นอยู่ริมสายน้ำ ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือโบสถ์สีน้ำเงินที่สุดอลังการ ถือว่าเป็นความงามที่มาจากความศรัทธาในศาสนา ทั่วทั้งโบสถ์ตั้งแต่บันไดทางขึ้นไปจนถึงยอดช่อฟ้าประดับตกแต่งไปด้วยเซรามิกที่ลงลวดลายไว้อย่างบรรจงตัดสลับกันระหว่างสีขาวกับสีน้ำเงิน
แต่ละมุมของตัวโบสถ์เป็นมุมถ่ายรูปได้หมดจริงๆ เพราะสวยมาก ทุกลวดลายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตกแต่งได้อย่างละเอียดและประณีตมาก
เชื่อเลยว่าความรัก ความศรัทธาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามเกินบรรยายขนาดนี้ได้! แล้วจะบอกทุกๆ คนว่า บริเวณวัดบรรยากาศดีมาก มีลมพัดมาตลอดเลย สบายใจสุดๆ
ภายนอกของโบสถ์ว่าสวยแล้ว พอเข้ามาภายใน บอกเลยว่าสวยไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะมีพระประธานเป็นพระพุทธชินราชองค์จำลองแล้ว ทั่วทั้งผนังโบสถ์เราจะได้ตื่นตากับภาพจิตรกรรมพุทธประวัติและทศชาติชาดกอีกด้วย
ละเอียดและงดงามไม่แพ้ที่ไหนๆ เลยทุกคน
หลังจากอิ่มบุญกันแล้ว เราก็เลยมาอีกหน่อยเพื่อมาอิ่มท้องกันต่อกันที่ ครัวอลิสา ร้านอาหารโลเคชั่นดี เพราะตั้งอยู่ริมน้ำที่มองเห็นวิวของภูเขา ป่าชายเลน และท้องทะเล นั่งกินอาหารไป รับลมทะเลไป มีต้นโกงกางคอยให้ร่มเงา อร่อยอิ่ม ฟีลกู้ดสุดๆ ไปเลย
ทางเดินในร้านเป็นระเบียงไม้น่ารักๆ ที่มองเห็นรากของต้นโกงกาง รวมทั้งต้นโกงกางน้อยๆ ที่กำลังเติบโต ทุกๆ อย่างของมื้อนี้ประทับใจมากๆ
เมนูของทางร้านมีให้เลือกหลายเมนู แต่ละเมนูเด็ดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดอลิสา ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ยำปูม้า และต้มยำทะเล
ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายเมืองจันท์ เราแวะมาเติมความหวาน กินกาแฟชิลล์ๆ กันสักหน่อยที่ Sky View Cafe ร้านกาแฟสุดบรรยากาศดี เพราะตั้งอยู่ริมผาที่เป็นชายฝั่งพอดี เป็นคาเฟ่ที่ตอบโจทย์การพักผ่อนกับเครื่องดื่มแก้วโปรดริมทะเลมากๆ การเดินทางก็ง่ายนิดเดียวเพียงขับจากวัดปากน้ำแขมหนู เรื่อยมาตามเส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิต ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็จะเจอโลเคชั่นวิวหลักล้านแบบนี้
นั่งดื่มน้ำไป มองวิวท้องฟ้ากับทะเลไป ได้ฟีลการพักกายพักใจสุดๆ
เมนูเครื่องดื่มแนะนำของร้านเลยก็คือ สกาย ซ่า, สกายอัฟโฟกาโต้ และลาเต้ออนเดอะร็อค
ถือแก้วแล้วไปถ่ายรูป รับรองว่าถ่ายมุมไหนก็ได้ภาพวิวทะเลเป็นฉากหลังสวยๆ ไว้อวดเพื่อนแน่นอน โดยเฉพาะเปลตาข่ายที่ยื่นออกมาเพื่อให้ใกล้กับทะเลมากขึ้นไปอีก ทั้งสบาย ทั้งวิวดี
เดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าของร้านก็ยังมีมุมถ่ายรูปอีก นั่นก็คือ บันไดสวรรค์เหมือนกับว่าเรากำลังจะบินไปสู่ฟ้าไกลเลย น้ำทะเลก็ฟ้า และฟ้าก็สีทะเล ได้รูปอัปลงโซเชียลรัวๆ เลยแหละ
ทั้งหมดนี้ก็คือ ทริปเลียบทะเลจันท์ 2 วัน 1 คืน “ให้เส้นทางพาเราไป” ที่เดินทางแสนจะง่าย เพราะเรายึดการขับรถตามถนนเฉลิมบูรพาชลทิตไปยาวๆ ทั้งสะดวก สุดชิลล์ อยู่กับวิวทะเลเต็มๆ เกือบ 48 ชั่วโมง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีแพลนกำลังจะเที่ยวทะเล แต่ฮอลิเดย์กลับมีไม่นาน ขอแนะนำแพลนในทริปของเราได้เลย รับรองว่าใช้เวลาคุ้ม เที่ยวครบ จบใน 2 วันแน่นอน
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริปเลียบทะเลจันทน์ 2 วัน 1 คืน
– ค่าอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยจั๊บป้าไหม 60 บาท (30 บาท/คน)
– ค่าไอศกรีมตราจรวด 24 บาท (12 บาท/คน)
– ค่าเครื่องดื่มที่ร้านบางเวลากาแฟและแกลเลอรี่ 100 บาท (50 บาท/คน)
– ค่าที่พักมัลดีฟส์ บีช รีสอร์ท 9,500 บาท (4750 บาท/คน)
– ค่าอาหารเย็นที่มัลดีฟส์ บีช รีสอร์ท 2,670 บาท (1,335 บาท/คน)
– ค่าอาหารกลางวันที่ครัวอลิสา 800 บาท (400 บาท/คน)
– ค่าเครื่องดื่มที่ Sky View Cafe 330 บาท (165 บาท/คน)
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปรวม 13,484 บาท
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปตกประมาณคนละ 6,742 บาท
**ราคาไม่รวมค่าน้ำมันรถไป-กลับ และค่าของฝากต่างๆ**
ถ้าใครสนใจที่พักสุดชิลล์เหมือนเราแนะนำที่นี่เลย มัลดีฟส์ บีช รีสอร์ท จันทบุรี ที่พักริมทะเล หาดสวย น้ำใส เหมือนได้ไปมัลดีฟส์และจะบอกทุกคนว่าถนนสายเฉลิมบูรพาชลทิตทอดยาวไปถึงระยองได้ด้วยนะ ถ้าใครสนใจอยากเลียบทะเลไปยาวๆ เราก็มีอีกหนึ่งปลายทางแนะนำเหมือนกัน คือ 11-จุดเช็คอินกินเที่ยวปากน้ำประแส-ระยอง