ราชบุรี 2 วัน 1 คืน มีวันหยุดต้องไปเที่ยว ให้ธรรมชาติเยียวยา
47,548 ครั้ง
25 ต.ค. 2565
47,548 ครั้ง
25 ต.ค. 2565
เบื่อความวุ่นวายของชีวิตในกรุงเทพฯ มาขับรถไปเพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตและสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดกันที่ จังหวัดราชบุรี หนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่สามารถใช้เวลาเดินทางในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ไปดื่มด่ำความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ รวมถึงมีที่เที่ยวสวยๆ และคาเฟ่ชิคๆ มากมายที่น่าไปเช็คอิน วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จะพาทุกคนไปเที่ยว ราชบุรี 2 วัน 1 คืน มีวันหยุดต้องไปเที่ยว ให้ธรรมชาติเยียวยา บอกเลยว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ ต้องเตรียมหาวันว่างแล้วออกไปเที่ยวตามแน่ๆ
ช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์นี้ เราเลือกเดินทางง่ายๆ ใกล้กรุงเทพฯ กันที่จังหวัดราชบุรี โดยเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯ ขับรถสบายๆ บรรยากาศสองข้างทางที่เริ่มเปลี่ยนไปจากภาพตัวเมืองกลายเป็นภาพความเขียวขจีของธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเราใกล้ถึงจังหวัดราชบุรีแล้ว และจุดหมายแรกที่เราเลือกไปกันก็คือ หุบผาสวรรค์ ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอันซีนของราชบุรี เมื่อเรามาถึงที่นี่ก็เข้าใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงมีชื่อเรียกว่าหุบผาสวรรค์ เพราะที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่รวมความเชื่อและความศรัทธาของหลายๆ ศาสนาเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ พุทธ อิสลาม ที่สำคัญตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ เหมาะกับใครที่อยากมาเที่ยวธรรมชาติและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมๆ กันมาก
นอกจากบนยอดเขาที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ด้านล่างยังมีพระพุทธรูปองค์โตให้ได้กราบไหว้สักการะเช่นกัน แต่หากใครพอมีเวลาและอยากขึ้นไปพิชิตยอดเขา แนะนำให้เตรียมร่างกายให้พร้อมและเผื่อเวลาการเดินทางสักหน่อย สำหรับทริปนี้เราเน้นเที่ยวสบายๆ ก็เลือกมาไหว้พระพุทธรูปด้านล่าง ขอพรก่อนเริ่มทริปราชบุรีกัน
หลังจากไหว้ทำบุญกันเรียบร้อยก็ขับรถออกมาเรื่อยๆ เตรียมไปหาคาเฟ่นั่งชิลล์สักเล็กน้อย และคาเฟ่ที่เราหามาก็เป็นคาเฟ่แนวแคมป์ปิ้งท่ามกลางป่าสนอย่าง ภูผา คอฟฟี่ แค้มป์ ซึ่งที่นี่ไม่ได้เป็นแค่คาเฟ่และร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกางเต็นท์ด้วย บรรยากาศรอบๆ มีความร่มรื่นจากทิวสนที่เรียงรายอยู่เป็นแถวๆ อย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคยที่มีภูเขาอุดมสมบูรณ์เป็นฉากหลังและอากาศเย็นสบาย มีลมคอยพัดมาตลอด บวกกับช่วงที่เราไปมีฝนตกพรำๆ บอกเลยว่าชิลล์มาก
มุมถ่ายรูปในร้านเยอะมาก เริ่มจากจุดแรกบริเวณริมอ่างเก็บน้ำ บอกเลยว่ามุมนี้บรรยากาศดีจริง ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์สุดๆ แถมถ่ายรูปออกมาสวยปังมาก แทบจะนึกว่าอยู่ต่างประเทศ และถัดมาที่เป็นไฮไลท์ก็คือโซนต้นสน ซึ่งโดยปกติป่าสนแบบนี้จะเจอในแถบภาคเหนือ แต่ที่นี่แค่ราชบุรีเอง ขับรถมาแปปเดียวก็ได้รูปคู่ป่าสนสวยๆ แล้ว นอกจากนี้ในร้านยังมีพร็อพสไตล์แคมป์ปิ้ง อย่างเต็นท์ โต๊ะ เก้าอี้ ชุดเครื่องครัวสนาม แคมป์กองไฟ เรียกได้ว่าเอาใจคนชอบแคมป์ปิ้งมาก
เดินถ่ายรูปกันเสร็จแล้วก็มาสั่งของกินกันหน่อย โดยคาเฟ่ที่นี่มีเครื่องดื่มให้เลือกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น และสตรอเบอร์รี่นมสดมัทฉะส่วนเมนูที่เป็นเบเกอรีก็จะมีเพียงอย่างเดียวคือครัวซองต์ ซึ่งต้องบอกเลยว่าครัวซองต์ของที่นี่จะมีกลิ่นหอมๆ ของเนย ข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มๆ แถมชิ้นก็ใหญ่กำลังดี โรยด้วยอัลมอนด์แบบจัดเต็มและราดด้วยคาราเมลเยิ้มๆ
เติมพลังกันเรียบร้อยก็ขึ้นรถ เตรียมมุ่งหน้าไปยังจุดเช็คอินถัดไป ซึ่งที่ที่เราจะไปเรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของราชบุรีเลย นั่นก็คือ Alpaca Hill ที่เที่ยวแนวครอบครัวตั้งอยู่ในอำเภอสวนผึ้ง ที่มาพร้อมกับความน่ารักของสัตว์หลากหลายชนิด และไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่จะชอบ อย่างเราที่ไปมาก็ชอบมากเหมือนกัน เพราะด้วยความที่เป็นฟาร์มเปิดทำให้ระหว่างทางเจอสัตว์เดินผ่านไปผ่านมาตลอดและได้ป้อนอาหารแบบใกล้ชิด ส่วนราคาบัตรเข้าชมก็มีหลายเรทราคา แต่ราคาบัตรที่เราเลือกเป็นเรทเริ่มต้นที่ 290 บาท บอกเลยว่าราคาแค่นี้ก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะแล้ว ตามไปดูกันดีกว่าว่าข้างในมีอะไรรอเราอยู่บ้าง~
หลังจากจ่ายเงินเสร็จก็จะได้ริสแบนด์มาสวมและเซ็ตของแถมทั้ง เจลแอลกอฮอล์ คุกกี้ และทิชชูเปียก
ภายในฟาร์มมีพื้นที่กว้างและบรรยากาศร่มรื่นมาก มุมต้นสนตรงนี้ฟีลเหมือนต่างประเทศจริงๆ
สัตว์ที่นี่แม้จะถูกเลี้ยงตามธรรมชาติ แต่ก็คุ้นเคยกับมนุษย์มาก
เดินมาเหนื่อยๆ เพิ่มความสดชื่นด้วย UFC Refresh น้ำมะพร้าว 100% จากธรรมชาติและมาพร้อมกับ 5 แร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย และเห็นขนาดกล่องเล็กๆ แบบนี้ แต่คุณประโยชน์เทียบเท่ากับมะพร้าว 1 ลูกเลย! นอกจากนี้รสชาติยังกินง่ายมากๆ มีความหวานจากธรรมชาติ แถมยังพกพาสะดวกสุดๆ ใส่กระเป๋าเล็กๆ ได้พอดี เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้หญิงอย่างเราที่มีกระเป๋าใบเล็ก แต่อยากพกของใช้ เครื่องดื่ม มือถือไว้ในที่เดียวกันมาก
หายเหนื่อยกันแล้วก็มุ่งหน้าสู่ความน่ารักของอัลปาก้า ใครที่มา Alpaca Hill ต้องแวะมาหาน้องๆ เพราะที่นี่เป็นฟาร์มอัลปาก้าแห่งแรกของประเทศไทยและมีการจำลองสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับอยู่ตามธรรชาติ เรียกได้ว่าอัลปาก้าที่นี่น่ารักและแฮปปี้มากแน่ๆ แน่นอนว่ามาถึงแล้วก็ต้องถ่ายรูปคู่และป้อนอาหารน้องสักหน่อย อยากจะบอกว่าอัลปาก้าที่นี่เชื่องและเป็นมิตรมาก สามารถลูบหัว ลูบตัวได้สบายๆ
นอกจากอัลปาก้า ภายในฟาร์มยังมีสัตว์น่ารักๆ อีกหลายชนิด ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กไปจนถึงสัตว์ตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น คาปิบาร่า จิงโจ้เผือก ชินชิลล่า เม่นแคระ แฮมสเตอร์ นกฮูก แพะ อีกทั้งเรายังสามารถเดินเข้าไปถ่ายรูป ให้อาหาร หรือเล่นกับน้องๆ ได้แบบใกล้ชิด รับรองว่าถูกใจคนรักสัตว์และเด็กๆ มาก
และในที่สุดก็มาถึงไฮไลท์ของเรา นั่นก็คือบ้านฮอบบิท ซึ่งบริเวณนั้นมีการจำลองหมู่บ้านฮอบบิทเหมือนหนังเรื่อง The Lord of the Ring บรรยากาศดูน่ารักและมองไปทางไหนก็เจอแต่ความร่มรื่นของต้นไม้ใบหญ้า และมุมนี้ใครมาก็ต้องถ่ายรูปคู่กับฝูงห่านตัวขาวๆ ซึ่งการจะได้รูปสวยๆ นั้นก็ต้องซื้ออาหารมาล่อสะหน่อย ซึ่งค่าอาหารห่านอยู่ที่ 50 บาท หลังจากซื้ออาหารแล้วจะมีพนักงานไปต้อนน้องห่านมา ที่เหลือก็เป็นหน้าที่เราเตรียมกล้องให้พร้อม ให้อาหารน้องไปพลาง ยิ้มมองกล้องไปพลาง รับรองได้รูปสวยๆ กลับไปเพียบ!
เดินทางกันมาทั้งวัน ก็ถึงเวลาเข้าที่พักกันแล้ว ซึ่งที่พักที่เราเลือกในคืนนี้คือ ภูอิงธาร ที่พักสวนผึ้งที่โอบล้อมไปด้วยความกรีนของธรรมชาติ ตัวที่พักมีพื้นที่กว้างขวาง มีความร่มรื่นของต้นไม้และทิวสน รวมถึงมองเห็นภูเขาใหญ่ได้จากตัวที่พัก เพิ่มความชิลล์ด้วยน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกสดชื่นและชุ่มฉ่ำ เดินผ่านได้ยินเสียงน้ำตก เสียงนกร้อง ใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ
ห้องพักของที่นี่มีหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านคนแคระ เต็นท์โดม บ้านถ้ำ แต่สำหรับคืนนี้เราเลือกพักสบายๆ ใน บ้านภูนับดาว ซึ่งเป็นบ้านถ้ำใต้น้ำตก นอนชิลล์ๆ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นน้ำตกเป็นสายไหลผ่านและได้ยินเสียงน้ำตลอด ให้ฟีลเหมือนอยู่ถ้ำใต้น้ำตกจริงๆ ส่วนในห้องพักก็จำลองออกมาเหมือนถ้ำ เน้นใช้โทนสีขาวดูสบายตาน่านอน ห้องกว้างขวางมีเตียงนอน 2 หลังใหญ่และมีห้องน้ำส่วนตัวในห้อง ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีครบครัน เรียกได้ว่าเหมาะกับการมานอนหลังจากเดินทางมาทั้งวันมาก เห็นห้องสวยๆ และอยู่สบายแบบนี้ ราคาเพียง 2,500 บาทเท่านั้น
สำหรับห้องนี้สามารถเข้าพักได้ 4 คน แต่ถ้ามากันแค่ 2 คนแบบเราก็นอนคนละเตียงได้เลย
สำหรับใครที่ชอบห้องน้ำกว้างๆ ที่นี่ตอบโจทย์เลย เพราะห้องน้ำกว้างมาก มีพื้นที่ใช้สอยสะดวกสบาย รวมถึงมีแยกโซนเปียกและแห้ง เหมาะกับเราที่ชอบใช้เวลาในห้องน้ำนานๆ มาก
และที่เป็นไฮไลท์ของบ้านภูนับดาวก็คือชั้นสองที่เป็นดาดฟ้า เดินขึ้นไปชั้นดาดฟ้าจะมีโต๊ะและเก้าอี้หินให้ได้นั่งชิลล์ อีกทั้งจากบนดาดฟ้านี้สามารถมองเห็นบริเวณที่พักได้แบบกว้างๆ นอกจากนี้ในตอนดึกสามารถเดินขึ้นไปนั่งชิลล์ๆ สัมผัสอากาศเย็นสบาย แถมยังเห็นดาวแบบใกล้ชิด จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมห้องนี้ถึงชื่อว่าภูนับดาว
มุมทางเดินขึ้นไปชั้นดาดฟ้า ถ่ายรูปออกมาก็สวยเหมือนกัน
เก็บของและนอนเล่นกันสักพักท้องก็เริ่มร้อง บวกกับวันนี้เรายังไม่ได้กินอะไรจริงๆ จังๆ ดังนั้นมื้อเย็นนี้ก็ขอจัดเต็มด้วยหมูกระทะจุกๆ สักมื้อ ซึ่งหมูกระทะนี้สามารถสั่งจากทางที่พักได้โดยตรง ราคาอยู่ที่ 350 บาท ได้หมูหมักชิ้นหนาๆ หมูสไลด์ และหมูสามชั้น รวมถึงมีผักและวุ้นเส้นในเซ็ตเดียวกัน น้ำจิ้มมีให้เลือก 3 แบบก็คือ น้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มแจ่ว และน้ำจิ้มซีฟู้ด บอกเลยว่าเมนูหมูกระทะกับมื้อเย็นเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาด
สำหรับมื้อเย็นนี้เราก็นั่งกินยาวๆ ใช้เวลานั่งพักผ่อน นั่งเล่นคุยไปเรื่อยๆ เป็นการจบวันที่สนุกจริงๆ
นอนชาร์จพลังกันเต็มอิ่มก็ตื่นแต่เช้าขับรถไปทำบุญกันที่ ตลาดโอ๊ะป่อย ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านท่ามะขามที่มีวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว บรรยากาศภายในตลาดร่มรื่นไปด้วยแมกไม้และได้รับความสดชื่นจากลำธารภาชี และแม้จะเป็นช่วงเช้าแต่คนก็มากันเยอะมาก เพราะหลายคนตื่นเช้ามาที่นี่เพื่อตักบาตรพระล่องแพโดยเฉพาะ โดยพระจะล่องแพผ่านลำธารพร้อมกับเสียงหวูดจากผู้ใหญ่บ้านที่เป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพระได้มาถึงแล้ว หลังจากนั้นพระจะมายืนประจำที่บนแพและให้พวกเราทุกคนค่อยๆ เดินไปตักบาตรตามแต่ละแถว เรียกได้ว่าเป็นประเพณีที่ดูเรียบง่ายและสวยงามจริงๆ
สำหรับใครที่สนใจมาตักบาตรพระล่องแพแนะนำว่าควรมาถึงก่อน 7 โมงเช้า เพราะส่วนใหญ่แล้วพระจะมาถึงประมาณ 07.30 น. ส่วนชุดตักบาตรสามารถหาซื้อได้จากในตลาดราคาอยู่ที่ 49 บาท และดอกไม้ไหว้พระราคา 20 บาท
คำว่า “โอ๊ะป่อย” มาจากภาษากะเหรี่ยงที่แปลว่า “พักผ่อน” ดังนั้นบรรยากาศภายในตลาดเต็มไปด้วยความสบายๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ และให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นสถานที่แห่งการพักผ่อนตามความหมายของตลาดนี้เลย
เซ็ตข้าวเหนียวหมูปิ้งอันนี้ไอเดียดีมากๆ ห่อด้วยใบตองอย่างประณีตสวยงาม
ตักบาตรเสร็จก็ได้เวลาเดินหาของกินสำหรับมื้อเช้า โดยเราก็เลือกหาอะไรกินง่ายๆ จากในตลาดนี้เลย บอกเลยว่าตลาดของกินเยอะและหลากหลายมาก อยากกินแบบอาหารจานเดียว ของกินเล่น หรือขนมก็มีหมด ในมื้อเช้านี้เราก็จัดเต็มด้วยผัดไทยราคา 30 บาท ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระราคา 35 บาท และข้าวเหนียวหมูปิ้งราคา 30 บาท บอกเลยว่าแต่ละร้านอร่อยและราคาสบายกระเป๋าสุดๆ
แน่นอนเราไม่ลืมที่จะพก UFC Refresh เติมความสดชื่นและสารอาหารให้กับร่างกายในยามเช้าสักหน่อย สำหรับเราที่เป็นคนติดน้ำหวาน ต้องกินในทุกเช้า เปลี่ยนมาดื่มน้ำมะพร้าวแทนก็ได้รสหวานอ่อนๆ ทดแทนพวกน้ำหวานได้เลย เรียกได้ว่าดื่มแล้วไม่รู้สึกผิดแน่นอน
นอกจากของกินแล้วในตลาดยังมีร้านขายของฝากที่เป็นฝีมือจากคนในชุมชน อย่าลืมซื้อกลับไปเป็นของฝากให้คนที่บ้านและถือว่าช่วยอุดหนุนคนในชุมชนด้วย
ภายในตลาดมีการตกแต่งด้วย “คังด้ง” สีสันสดใส ซึ่งคำว่าคังด้งเป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า ใยแมงมุม เป็นสัญลักษณ์แสดงความกลมเกลียว นอกจากความหมายจะดีแล้วยังดูสวยมากๆ จนต้องกดถ่ายรูปสักหน่อย
ขับรถมาเที่ยวตลาดกันต่อที่ ตลาดห้วยน้ำใส ตั้งอยู่ใน หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส อำเภอสวนผึ้ง หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาที่หลายคนรู้จักกันว่าเป็นแม่กำปอง 2 ด้วยบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยความเขียวชอุ่มของธรรมชาติ รวมถึงมีลำธารและน้ำตกไหลผ่านหมู่บ้าน แต่ไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ที่นี่ยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประเพณีของชาวมอญ นอกจากนี้ระหว่างทางก็มีของกินและของขายกระจุกกระจิกด้วย
อย่าพลาดถ่ายรูปคู่กับน้องๆ ที่แต่งชุดมอญด้วยละ น่ารักสุดๆ
เดินมาเจอกับร้านขายโดนัทมอญ และด้วยความอยากรู้ว่าต่างจากโดนัทปกติไหมก็อดซื้อมาไม่ได้ ซึ่งรสชาติก็อร่อยแปลกใหม่ดี ไม่เหมือนกับโดนัทที่เราเคยกินมาก่อน เนื้อแป้งเหนียวๆ นุ่มๆ ราดด้วยน้ำเขื่อม เดินกินเล่นได้เพลินๆ ราคาไม้ละ 10 บาทเท่านั้น
ตลอดทางเดินทั้งสองข้างทางมีรั้วไม้ไผ่อยู่เรียงราย นี่ก็เป็นอีกมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ที่ใครมาก็ต้องเช็คอิน อีกทั้งยังมีพร็อพน่ารักๆ ที่สามารถกดชัตเตอร์ได้รัวๆ
ส่วนการเดินทางไปยังตลาดนั้นแนะนำให้จอดรถที่หน้าหมู่บ้าน แล้วนั่งรถรับ – ส่งเข้าไปยังในตลาดแทน ค่ารถเพียงแค่คนละ 10 บาทเท่านั้น
นอกจากในตลาดแล้ว ที่หมู่บ้านห้วยน้ำใสยังมีคาเฟ่ชิลล์ๆ น่านั่งอีกมากมาย จนเราเดินไปเจอกับรีสอร์ท Shade of Green ที่เป็นที่พักและมีคาเฟ่ชื่อ Coffee MAT อยู่ริมลำธารมาพร้อมกับบรรยากาศของการพักผ่อน ภายในคาเฟ่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติทำให้ร้านดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สำหรับโซนที่นั่งเป็นโอเพ่นแอร์ เปิดโล่ง รับลมธรรมชาติสบายๆ สามารถเลือกนั่งได้ทั้งในร้านและริมลำธาร ส่วนเมนูของทางร้านส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มที่มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมัทฉะลาเต้ และโกโก้นม บอกเลยว่าเป็นร้านที่ชิลล์มากๆ มานั่งจิบชา กาแฟไปพลาง ฟังเสียงน้ำไหลไปพลาง บรรรยากาศเอาไปเต็ม 10 เลย
อยากใกล้ชิดธรรมชาติเข้าไปอีกก็ต้องไปนั่งจุ่มเท้า แช่น้ำเย็นๆ กลางลำธาร ที่บอกเลยว่าชุ่มฉ่ำสุดๆ นอกจากจะมานั่งชิลล์ๆ แล้ว ตรงนี้ก็เป็นอีกมุมถ่ายรูปสวยๆ ท่ามกลางธรรมชาติด้วย
พักผ่อนชิลล์ๆ กันเรียบร้อยก็เตรียมตัวไปยังจุดเช็คอินทางธรรมชาติของราชบุรีที่ห้ามพลาดอย่าง อุทยานหินเขางู โดยการเดินทางนั้นใช้ระยะเวลาประมาณชั่วโมงหน่อยๆ แต่เป็นชั่วโมงที่ไม่น่าเบื่อเลย เพราะระหว่างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติ บางทีก็เจออุโมงค์ต้นไม้ บางทีปลายทางถนนก็เจอภูเขาลูกใหญ่ อีกทั้งถนนก็สวยมาก ขับรถง่าย แม้ว่าจะมีทางโค้งเยอะแต่ก็มีป้ายเตือนตลอดทาง ใครอยากได้ฟีลขับรถชิลล์ๆ บนเขาที่ให้บรรยากาศเหมือนทางเหนือ ถนนเส้นนี้ก็เป็นอีกเส้นที่น่ามาขับรถเล่นมาก
น้ำมะพร้าว 100% UFC Refresh พกพาสะดวก สามารถเติมความสดชื่นได้ทุกที่ทุกเวลา เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคู่ทริปนี้เลย
และในที่สุดก็มาถึง อุทยานหินเขางู เพียงเดินเข้ามาในส่วนของอุทยานก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นสบายๆ และความสวยงามของภูเขาหินปูน บรรยากาศที่นี่ชิลล์และสบายมากๆ มีสระน้ำอยู่หน้าภูเขาหินขนาดใหญ่ ถ่ายรูปออกมาดูอลังการมาก นอกจากนี้ยังมีสะพานข้ามน้ำที่จะพาเราไปยังทางเดินกลางขุนเขา ซึ่งทางเดินก็ง่ายๆ เหมาะกับการมาเดินเล่น เสพธรรมชาติสุดๆ รวมถึงยังมีกิจกรรมให้ทำอย่างปั่นเรือและให้อาหารปลาด้วย
จุดไฮไลท์คือสะพานข้ามน้ำที่ใครมาแล้วก็ต้องแวะมาถ่ายรูปกัน เรียกได้ว่าเป็นจุดเช็คอินของอุทยานหินเขางูเลยก็ว่าได้
แวะมาถ่ายรูปเล่น ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ให้ธรรมชาติบำบัดก่อนที่เราจะขับรถไปที่ต่อไปกัน
มาเที่ยวทั้งที่ก็ไม่พลาดที่จะตามเก็บคาเฟ่สวยๆ สักหน่อย ซึ่งคาเฟ่ที่เราจะพาทุกคนไปชื่อว่า กระท่อมอินทา คาเฟ่บรรยากาศดีริมทะเลสาบโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดยตัวคาเฟ่มีการออกแบบทรงคล้ายกระท่อม ส่วนภายในเน้นใช้วัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งโทนสีน้ำตาล ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและกลมกลืนกับธรรมชาติ บวกกับมีต้นไม้สีเขียวกลางร้านยิ่งช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย นอกจากนี้ภายในร้านยังมีกระจกบานใหญ่ ทำให้มีแสงส่องเข้ามาช่วยให้ร้านดูโล่งโปร่งสบายตาและยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกร้านได้อย่างไม่มีอะไรมากั้น ส่วนโซนที่นั่งมีทั้งอินดอร์ เอาท์ดอร์ และไพรเวท สามารถเลือกนั่งได้ตามต้องการเลย
ไฮไลท์ของที่นี่คือวิวธรรมชาติที่สวยมาก มีทะเลสาบขนาดใหญ่และฉากหลังเป็นภูเขาอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งตัวคาเฟ่ตั้งอยู่บนเนินสูงทำให้มองเห็นความสวยงามนี้ได้แบบเต็มๆ ตา นอกจากนี้ร้านยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ เพียบ เรียกได้ว่าเดินถ่ายรูปเช็คอินได้ตั้งแต่ทางเข้าร้านเลย
มุมที่ห้ามพลาดก็คือท่าน้ำริมทะเลสาบกับเรือใบสีขาว ที่มาพร้อมกับความเขียวของป่าไม้เป็นพื้นหลัง บอกเลยว่ามุมนี้สวยปังน่าอัปลงโซเชียลมาก
เมนูของทางร้านมีมากมายทั้งของหวาน ของคาว และเครื่องดื่ม โดยเราเลือกสั่งเมนูที่ทางร้านบอกว่าเป็นซิกเนเจอร์อย่าง Intha Melon และStrawberry Milk นอกจากเครื่องดื่ม เค้กและเบเกอรี่ทางร้านน่ากินมากๆ เราก็เลยสั่ง บัตเตอร์โทสต์ คาราเมล ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ท็อปปิ้งด้วยไอศกรีมหวานมัน ถ้าชอบหวานก็ราดซอสราคาเมลเพิ่มได้ เรียกได้ว่าเอาใจสายหวานสุดๆ และอีกเมนูเป็นเมล่อน โดยเมล่อนของที่นี่สดและหวานฉ่ำจริงๆ แต่แนะนำว่าถ้าใครสั่งเมล่อนมา ควรกินเมล่อนก่อนของหวานอื่นๆ ไม่งั้นเราจะไม่ได้สัมผัสรสชาติเมล่อนแบบเต็มๆ
ในที่สุดก็มาถึงจุดสุดท้ายของทริปในวันนี้ ปิดท้ายกันด้วยมื้อเย็นแสนอร่อยและบรรยากาศหลักล้านกันที่ Inlaya Bar & Grill ร้านอาหารในเครืออินเลญา ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับกระท่อมอินทา โดยตัวร้านเป็นแบบเปิดโล่งและอยู่ติดกับริมทะเลสาบ ทำให้มีลมสบายๆ พัดเข้ามาตลอด การตกแต่งร้านเป็นไปอย่างเรียบง่ายและสบายตา ช่วยเสริมให้บรรยากาศของธรรมชาติดูโดดเด่นมากขึ้น อีกทั้งตัวร้านยังตั้งอยู่กลางธรรมชาติ ใกล้ชิดทะเลสาบและมองไกลออกไปเห็นภูเขาตั้งอยู่เป็นแนว ยิ่งถ้ามาในช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ตกดิน จะเห็นแสงอาทิตย์หายลับขอบภูเขาสวยมากๆ เป็นร้านที่พาครอบครัวมาก็ต้องชอบหรือพาคนรู้ใจมาก็โรแมนติกสุดๆ
มุมนั่งโซนใต้ต้นไม้ก็ดูร่มรื่นมาก
เพิ่มเติมความชิลล์ด้วยสะพานทอดยาวกลางน้ำ ลมพัดเย็นสบาย จะมาเดินเล่นชิลล์ๆ หรือถ่ายรูปก็ดีมาก
ส่วนเมนูของทางร้านมีให้เลือกหลายแบบทั้งเมนูอาหารไทยและนานาชาติ แต่ละจานปรุงอย่างพิถีพิถัน วัตถุดิบก็เลือกใช้แต่ของที่มีคุณภาพ พูดขนาดนี้มื้อเย็นเราก็สั่งแบบจัดเต็มเลย ซึ่งเมนูที่เราสั่งในวันนี้ล้วนแต่เป็นเมนูที่ทางร้านแนะนำ
เริ่มจากขาหมูทอดกรอบ ราคา 395 บาท ขาหมูกรอบๆ เนื้อนุ่มฉ่ำๆ กินคู่กับน้ำจิ้ม บอกเลยว่าอร่อยฟินมาก
ผัดฉ่ากระทะร้อนทะเล หอมเครื่องสมุนไพรและพริก รสชาติจัดจ้าน แถมเนื้อกุ้ง ปลาหมึก หอยก็กินได้เต็มคำเลย ราคาเพียง 250 บาท
เมี่ยงปลาทับทิม เนื้อปลาหั่นออกมาชิ้นพอดีคำ ห่อใส่ใบชะพลู ราดน้ำจิ้มสูตรเด็ด กินคู่กับเครื่องเคียง ราคา 295 บาท
แกงป่าปลาคัง เมนูอาหารพื้นบ้าน รสชาติพริกแกงป่าเข้มข้น เนื้อปลาขาวชิ้นโตๆ น้ำขลุกขลิก ราคา 180 บาท
ยำผักกูด น้ำยำกลมกล่อม เผ็ดเบาๆ ผักกูดก็กินง่ายมาก ใบอ่อน ไม่มีรสชาติขม คนไม่กินผักก็กินได้ง่ายๆ ราคาอยู่ที่ 180 บาท
นั่งกินอาหารชิลล์ๆ ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่ให้ฟีลชิลล์ๆ สบายๆ แต่พอเปลี่ยนมาช่วงตอนดึกบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอีกแบบ ด้วยแสงไฟที่ประดับประดาทั่วร้านและมีดนตรีสดที่เริ่มเล่นตั้งแต่ 18.00 น. บอกเลยว่าเป็นร้านที่สามารถมานั่งกินได้ยาวๆ อีกทั้งอาหารก็อร่อย บรรยากาศก็ดี ใครมาราชบุรีให้ลิสต์ร้าน Inlaya Bar & Grill ไว้ในร้านที่ต้องมาเช็คอินเลย
และทั้งหมดนี้คือความสนุกสนานของ ราชบุรี 2 วัน 1 คืน มีวันหยุดต้องไปเที่ยว ให้ธรรมชาติเยียวยา หนีจากความวุ่นวายในเมือง มาพักผ่อนชิลล์ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ เป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แถมยังได้สัมผัสวิถีชีวิตพื้นบ้านและความน่ารักของชาวกะเหรี่ยงและมอญ นอกจากนี้ยังได้กินอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ เช็คอินคาเฟ่สวยๆ แถมได้รูปกลับไปอัปลงโซเชียลมากมาย อีกทั้งเดินทางง่ายใกล้กรุงเทพฯ มาก ว่าแล้วก็หาวันหยุดเตรียมแพ็คกระเป๋ามาจังหวัดราชบุรีกัน!
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปราชบุรี 2 วัน 1 คืน มีวันหยุดต้องไปเที่ยว ให้ธรรมชาติเยียวยา
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มภูผา คอฟฟี่ แค้มป์ 309 บาท (154.50 บาท/คน)
– ค่าเข้า Alpaca Hill 580 บาท (290 บาท/คน)
– ค่าอาหารห่าน 50 บาท (25 บาท/คน)
– ค่าที่พักภูอิงธาร 2,500 บาท (1,250 บาท/คน)
– ค่าหมูกระทะ 350 บาท (175 บาท/คน)
– ค่าชุดตักบาตร 98 บาท (49 บาท/คน)
– ค่าดอกไม้ 40 บาท (20 บาท/คน)
– ค่าอาหารตลาดโอ๊ะป่อย 175 บาท (87.50 บาท/คน)
– ค่ารถรับ-ส่งไปตลาดห้วยน้ำใส 40 บาท (20 บาท/คน)
– ค่าอาหารตลาดห้วยน้ำใส 10 บาท (5 บาท/คน)
– ค่าเครื่องดื่ม Coffee MAT at Shade of Green 150 บาท (75 บาท/คน)
– ค่าอาหารและเครื่องดื่มกระท่อมอินทา 400 บาท (200 บาท/คน)
– ค่าอาหาร Inlaya Bar & Grill 1,300 บาท (650 บาท/คน)
รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป 6,002 บาท (สำหรับ 2 คน)
เฉลี่ยเหลือคนละ 3,001 บาท
**ราคาไม่รวมค่าน้ำมันรถไป-กลับ และค่าของฝากต่างๆ**
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ราชบุรี 2 วัน 1 คืน มีวันหยุดต้องไปเที่ยว ให้ธรรมชาติเยียวยา ใครไปราชบุรีก็เก็บแพลนเที่ยวนี้ไว้เลย อย่าลืมมาตามกัน รับรองสนุกและจัดเต็มทุกรสชาติแน่ๆ ถ้าใครมองหาที่เที่ยวเพิ่มเติมของราชบุรีก็มาตามได้ที่ 7 ที่เที่ยวราชบุรี กินคุ้ม เที่ยวครบ กับบรรยากาศสุดชิลล์ นอกจากราชบุรียังมีที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ อีกมากมายที่รอให้เราไปเช็คอินกัน ลองหาวันว่างๆ เสาร์ – อาทิตย์ตามไปเที่ยวกับ 20 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ไปเช้าเย็นกลับ ฉบับคนวันหยุดน้อย!