tripgether.com

ลุย! แม่ฮ่องสอน 2 วัน 1 คืน ปาย-จ่าโบ่-รักไทย เที่ยวแบบมีเวลาน้อย แต่เก็บหมดทุกความสุข

57,297 ครั้ง
16 ม.ค. 2562

ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทีมงานทริปเก็ทเตอร์ได้มีโอกาสจักทริปกันแบบชิลล์ๆ ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ซึ่งถือว่าค่อนข้างยาวนานพอสมควร สำหรับคนมีเวลาน้อยอาจจะลำบากกันสักหน่อย รีวิวนี้เลยอยากจะย่อทริปให้เหลือเพียง 2 วัน 1 คืน แต่เที่ยวแม่ฮ่องสนกันแบบครบๆ กันเลย หวังว่าน่าจะเป็นไกด์ที่ดีสำหรับทุกคนในการวางแผน จะไปต้นปีนี้เลย หรือรอหนาวหน้าก็ก็ฟินอย่างแน่นอน

900x600-02 2


l DAY 1 เชียงใหม่ – ปาย – จ่าโบ่ l

เราออกเดินทางขึ้นเครื่องจากสนามบินดอนเมือง ในไฟล์ทแรกของวันช่วงเวลาเช้ามืดประมาณตี 5 ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ในเวลาประมาณ 6.30 น. และทริปนี้เราได้จัดการติดต่อเช่ารถจากเชียงใหม่ไว้เรียบร้อย พร้อมลุยจังหวัดแม่ฮ่องสอนกันต่อแบบไม่สะดุด

ไม่ชักช้า เราออกจากสนามบินกันเลยเพื่อจะกระชับเวลา เราใช้เส้นทางสาย แม่แตง – แม่มาลัย – ปาย เพราะเส้นทางนี้ปลอดภัยและใช้เวลาน้อยที่สุด แถมยังมีร้านกาแฟจุดพักรถให้แวะตลอดทาง ขับแบบชิลล์ๆ ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง

Screen Shot 2562-01-08 at 09.39.20

ระหว่างครึ่งทางเส้นทางมาปาย เราพบกับจุดเช็คอินแรกที่ชื่อว่า จุดชมวิวโค้งงาม จุดชมวิวนี้เป็นเพียงโค้งเล็กๆ ไม่ได้มีร้านค้าหรือห้องน้ำให้บริการ แต่ความพิเศษคือ ที่นี่เป็นจุดแรกที่เราสามารถเห็นทะเลหมอกได้

KongNgamviewpoint-2

อาจจะไกลซักหน่อย แต่สวยงามไม่เบา

KongNgamviewpoint-2

KongNgamviewpoint-2

จากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ปายกันต่อในครึ่งหลัก ระหว่างทางเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว แนะนำให้เปิดกระจกเพื่อสัมผัสกับโอโซน เอาหน้ารับลมกระชับรูขุมขนกันสักหน่อย

… 

เรามาถึงปายราวๆ 9 โมงเช้า และจุดหมายที่จะต้องไม่พลาดแวะเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คือ สะพานประวัติศาสต์ท่าปาย

 Paibridge-5

ขอเล่าประวัติกันสักหน่อย..สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างโดนทหารกองกำลังประเทศญี่ปุ่น เดิมที่สะพานแห่งนี้เป็นสะพานไม้ ใช้ในกางขนส่งอาวุธต่างๆ และเมื่อสงครามจบลงสะพานแห่งนี้ก็ถูกเผาไปพร้อมกับความทรงจำ ต่อมาได้สร้างขึ้นใหม่โดยใช้เหล็กจากสะพานนวรัตน์ที่เชียงใหม่ และอยู่ยาวนานมาถึงทุกวันนี้…

Paibridge-5 

ตัวสะพานทำจากเหล็กและไม้ มีความยาวประมาณ 100 เมตร ทอดยาวข้ามแม่น้ำปาย มีมุมรถเท่ๆ กับน้องชาวเขาให้ถ่ายรูปด้วยนะ ที่สำคัญบริเวณรอบสะพานมากมายด้วยร้านของฝาก ของกิน รวมถึงคาเฟ่ก็มีให้บริการ เราเลยขอแวะจิบกาแฟแก้ง่วงกันสักหน่อย

 Paibridge-5

 

ร้าน คอฟฟี่ทีสะพาน (Coffee Tea Sapan) ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสะพานเลย ตัวร้านเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ ท่ามกลางบ่อน้ำและสวนดอกไม้ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะพอสมควร

 Coffeeteasapanpai-2

Coffeeteasapanpai-2

สังเกตุไม่อยาก ให้มองหาหุ่นชาวกะเหรี่ยงคอยาวคนนี้ไว้

Coffeeteasapanpai-2

ส่วนเมนูขอจิบ ลาเต้ร้อน แก้วนี้ 55 บาท ราคาถือว่ากำลังดี นอกจากนี้ยังมีอาหารให้เลือกสั่งด้วยนะ ส่วนมื้อเช้านี้เราของเดินกินเมนูที่ชาวบ้านตั้งขาย พวกมันปิ้งช่วยคลายหนาวได้ดีเลย

Coffeeteasapanpai-2 

จากนั้นเราตะลอนกันต่อไปที่ โป่งน้ำร้อนไทรงาม เพื่อที่จะแช่ร่างผ่อนคลายจากความเหนื่อยล่ากันสักหน่อย..บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ อยู่ห่างจากสะพานปาย 16.5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย มีค่าบริการผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท และมีค่าพาหนะมอเตอร์ไซต์ 20 บาท และรถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท

Hotspring-10 

จากปากทางเป็นเส้นทางคอนกรีตลึกเข้าไปอีก 4 กิโลเมตร จะพบกับบ่อน้ำร้อน จุดนี้ต้องเสียค่าบริการอีกคนละ 20 บาท เป็นค่าดูแลของชาวบ้าน ด้านในร่มรื่นถูกปกคลุมด้วยเงาร่มไม้ มีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นธารน้ำไหล มองด้วยตาเปล่าจะเป็นสีฟ้าใสสุดๆ 

 Hotspring-10

Screen Shot 2562-01-07 at 18.23.01

มีห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อม

Hotspring-10 

มีสะพานให้ยืนมอง โพสต์ท่าสวยๆ กันด้วยนะ และมื้อเที่ยงเราก็แวะกินที่นี่เลย ได้บรรยากาศปิกนิกสุดๆ

 Hotspring-10

จากนั้นเรามุ่งเข้าสู่อำเภอปางมะผ้า เพื่อที่จะไปค้างคืนที่บ้านจ่าโบ่ แต่ก่อนเข้าหมู่บ้านขอแวะไปชมวิวที่จุดชมวิวปางมะผ้ากันก่อน จากปายใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง เส้นทางนี้โค้งจะเยอะเป็นพิเศษ และถึงจะเข้าช่วงเที่ยงแต่อากาศยังหนาวอยู่ มีแดดอ่อนให้ความอบอุ่น ฟินสุดๆ

 Screen Shot 2562-01-08 at 10.19.03

จุดชมวิวปางมะผ้า ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่ค่อนข้างใหญ่ มีที่จอดรถ ร้านค้า และห้องน้ำคอยให้บริการ มีวิวให้ชมกันถึง 2 ฝั่ง ดูกันแบบ 180 องศา

 Kiwlomviewpoint-12

Kiwlomviewpoint-12

และที่ต้องไม่พลาดก็ต้องลองจอยกับ ชิงช้ายูนนาน ให้ตื่นเต้นชมวิวแบบท๊อปๆ กันด้วย

 Kiwlomviewpoint-12

และก็ต้องไม่พลาดถ่ายภาพกับน้องๆ เป็นที่ระลึก 

Kiwlomviewpoint-12

เข้าช่วงบ่ายสองขอมุ่งสู่บ้านจ่าโบ่เลยละกัน จากจุดชมวิวปางมะผ้าเราย้อนรถกลับมาที่บริเวณทางแยก และมุ่งตรงไปที่บ้านจ่าโบ่ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เส้นทางคดเคี้ยวแต่ผลอดภัยเป็นทางลาดยางตลอด ถึงจุดนี้เราว่ามีอย่างต่ำ 1,000 โค้ง

Screen Shot 2562-01-08 at 10.39.53 

บ้านจ่าโบ่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางเขาที่มีชาวเขาเผ่าลาหู่อาศัยอยู่ ซึ่งคำว่าจาโบ่ นั้นก็มีที่มาจากชายผู้เป็นคนก่อตั้งหมู่บ้านนั่นเอง บรรยากาศภายในยังคงความเรียบง่าย มีบ้านรูปทรงแบบเดิม คงวีถีชีวิตได้อย่างเป็นเอกลักษณ์

Phupamok-15

สำหรับทริปนี้เราพักกันที่ลานกางเต็นท์จ่าทอ ที่พักนี้มีบริการทั้งลานกางเต็นท์ ซึ่งเราจะนำมาเองหรือใช้เต็นท์ที่นี่ก็มีให้พร้อม นอกจากนี้ยังมีกระท่อมไม้ไผ่ให้เลือกนอนกันด้วย

 Jatohhomestay-14

Jatohhomestay-14

เช็คอินเสร็จเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย เราขอเดินลุยกันรอบๆ หมู่บ้านสักหน่อย ระหว่างทางเรียงรายไปด้วยบ้านเรือน และมีร้านกาแฟเล็กๆ อยู่ใจกลาง เราเลยไปพักจิบเมนูเย็นๆ กันสักหน่อยที่ เด็กดอย คอฟฟี่

Dekdoicoffee-10

ตัวร้านเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ แบบโอเพ่น ด้านในมีบาร์กลิ่นหอมกาแฟฟุ้ง ตกแต่งในสไตล์วินเทจ มีกล้องอนาล็อกและภาพเก่าๆ ส่วนเมนูก็มีทั้งกาแฟ ชา และอิตาเลี่ยนโซดา เลยขอลองเมนูชื่นใจๆ กับ ชาเย็น แก้วนี้ 50 บาท (ปล.เจ้าของร้าน พอรู้ว่าเรามาจากเพจแอบมีขนมมาแถมให้ด้วย ใจดีสุดๆ)

 Dekdoicoffee-10

Dekdoicoffee-10

มุมนั่งมีไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เด็ดทุกที่ มุมเด็ดก็ต้องยกให้ระเบียงลอยฟ้า ซึ่งจากมุมนี้เรียกว่าชมวิวกันแบบเต็มๆ และที่สำคัญเจ้าของร้านเป็นกันเองสุดๆ เราเลยได้ข้อมูลของหมู่บ้านเพิ่มเติมเยอะเลยทีเดียว

Dekdoicoffee-10 

จากนั้นเราได้ยินมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งการเดินป่า ทอผ้า เรียนรู้วิถีชีวิตลาหู่ในแบบต่างๆ ซึ่งแต่ละกิจกรรมอาจต้องติดต่อล่วงหน้ามาก่อน แต่มีหนึ่งเส้นทางที่เราสามารถเดินได้เองไม่ต้องพึ่งไกด์ นั่นก็คือ ถ้ำผีแมน

 BaanjaboVillage-4

ถ้ำผีแมน เป็นถ้ำที่อยู่ใต้ภูเขาลูกใหญ่กลางหมู่บ้าน ทางเข้าจะอยู่ข้างโฮมสเตย์สกาวเดือน ณ ชายขอบ ก่อนถึงด่านทหารเล็กน้อย เส้นทางในเป็นทุ่งดอกหญ้าสีขาว ส่วนตัวถ้ำจะอยู่ฝั่งซ้ายมือมีทางแยกนำไป ที่สำคัญไม่มีป้ายบอกทาง

BaanjaboVillage-35 

บอกตามตรงเลยว่า ตอนแรกเราเดินมาผิดเส้นทาง ลึกเลยถ้ำไปแล้วจนมีชาวบ้านมาบอก แต่ด้านในก็สวยดีนะ แอบถ่ายรูปมาฝากสักหน่อย

BaanjaboVillage-35 

กลับมาที่ถ้ำ บอกเลยว่าบรรยากาศค่อนข้างวังเวง มีบันไดไม้พาเลาะขึ้นไปตามเขา ด้วยความเหนื่อยล้าและใจที่ไม่กล้าพอทำให้เราหยุดที่ตรงนี้ 

 BaanjaboVillage-35

BaanjaboVillage-35

แอบกระซิบกันสักหน่อย พอกลับมาจากทริปเรามาหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้พบกันข่าวดี เพราะถ้าขึ้นไปอีกนั้นจะพบกับโลงศพไม้สัก ที่มีอายุราว 2,500 ปี ซึ่งความน่าสนใจคือภายในถ้ำจะมีโลงศพกระจายเต็มไปหมด รวมถึงมีบริเวณด้านบนเหนือหัวเราด้วย ซึ่งยากมากที่จะสามารถขนขึ้นมาได้ ที่สำคัญทุกโลงนั้นจะสะอาดราวกับว่ามีคนคอยรักษา ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าผีแมนเป็นผู้ดูแลถ้ำแห่งนี้อยู่

… 

เดินเสร็จเข้าช่วงเย็นพอดี เราขอพักผ่อนเข้าที่พัก ทานมื้อเย็นกับแบบเรียบง่าย สำหรับเมนูเย็นนี้ประกอบไปด้วย ต้มฟักทอง ผัดวุ้นเส้น และไข่เจียว เสริฟพร้อมข้าวดอย ที่มีความเหนียวนิดๆ แปลกใหม่ดีทีเดียว

Jatohhomestay-33

Untitled-2-01

 Jatohhomestay-33

ช่วงค่ำอย่าเพิ่งรีบนอนกันไป เมื่อความมืดปกคลุมจันทร์ก็เข้าแทรก มาพร้อมกับดาวอีกนับล้านดวงบนท้องฟ้า สวยงามสุดๆ

 Jatohhomestay-41


l DAY 2 จ่าโบ่ – รักไทย – เชียงใหม่ l

เช้าสู่เช้าวันที่สอง เราตื่นกันในเวลาตี 5 เพื่อจะขึ้นไปชมแสงอาทิตย์ขึ้นก่อนใครที่ ดอยภูผาหมอก ซึ่งเส้นทางนี้ชาวบ้านจะเป็นคนพาเราขึ้นไป มีค่าบริการคนละ 100 บาท สามารถติดต่อได้ที่ลานกางเต็นท์จ่าทอเลย ดอยแห่งนี้อยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เป็นเส้นทางภูเขาระยะทางประมาณ 500 เมตร มีความชันผสมความมืดเล็กน้อย แนะนำให้เตรียมไฟฉายมาเผื่อด้วย เด็กๆ สามารถขึ้นได้สบาย

Phupamok-1

ไม่นานดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาทักทาย พร้อมกับทะเลหมอกเล็กๆ ชาวบ้านบอกว่าเมื่อคืนอากาศหนาวเกินไปหมอกเลยไม่มา

Phupamok-1

Phupamok-1

จากนั้นเราลงชมวิวกันต่อที่ จุดชมวิวบ้านจ่าโบ่ และกินมื้อเช้ากันที่ ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจ่าโบ่

Hoikanoodle-12

Hoikanoodle-12

ตัวร้านเป็นบ้านไม้ริมเขามี 2 ชั้น มากมายด้วยมุมนั่งทั่งโต๊ะ และบาร์ห้อยขา ส่วนเมนูจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ มีทั้งเส้นเล้ก เส้นใหญ่ เส้นใหม่ และเส้นพิเศษที่ทำเอง เส้นมาม่าหยก รสชาติเข้มข้นอร่อยใช้ได้ ดีกว่าที่คิดไว้ ที่สำคัญราคาชามละ 40 บาทเท่านั้น

Hoikanoodle-12

Hoikanoodle-12

มุมถ่ายรูปสวยๆ เพียบ

Hoikanoodle-12 

นอกจากนี้ยังร้านกาแฟบริการเช่นกัน เลยจัดเมนู แดงมะนาวโซดา เพิ่มความซู่ซ่าซะหน่อย แก้วนี้ 50 บาท

 Hoikanoodle-12

เก็บของเช็คเอาท์ที่พักเรียบร้อย เรามุ่งตรงสู่อีกหนึ่งหมู่บ้านจุดหมายของทริปนี้ บ้านรักไทย ระยะทาง 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง

 Screen Shot 2562-01-08 at 11.38.25

บ้านรักไทย หมู่บ้านแห่งนี้มากมายด้วยมนต์เสน่ห์ ทั้งโลเคชั่นที่อยู่กลางหุบเขา แถมยังมีทะเลสาปในใจกลาง และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์แบบจีนยูนนาน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยนะ

Rewinerakthai-26 

ภายในหมู่บ้านมากมายด้วยร้านขายของฝาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ชาและผลไม้อบแห้ง และร้านอาหาร รวมถึงที่พักก็มีให้เลือก

Rakthaiview-5 

สำหรับทริปนี้เราไม่ได้พักที่บ้านรักไทย แต่ก็มีรีสอร์ทหนึ่งกลางไร่ ที่ต้อนรับให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายไป ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท ที่นี่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ตั้งเด่นกลางไร่ชาสีเขียว ตัวที่พักเป็นบ้านดินหลังสวยที่เรียงราย และมีทางเดินโคมสีแดง และโอ่งหมักชาให้ถ่ายรูปกัน

Rewinerakthai-43

Rewinerakthai-43

ยืนนิ่งแบบฮิสเตอร์ก็ดีไม่เบา

Rewinerakthai-36

เดินชมหมู่บ้านกันแบบเพลินๆ เข้าสู่ช่วงเที่ยง มาบ้านรักไทยแบบจีนยูนนานทั้งที ก็ต้องไม่พลาดกินเมนูท้องถิ่นที่ร้าน ลีไวน์รักษ์ไทย ใช่แล้ว ลีไวน์รักไทยเขามีทั้งที่พัก ร้านอาหาร และคาเฟ่ให้บริการเลย ตัวร้านเป็นอาคารหลังแบบจีน ตกแต่งได้อย่างสวยงาม 

Rewinerakthai-32

 Rewinerakthai-32

ภายในมากมายด้วยโต๊ะนั่ง ทั้งแบบโต๊ะใหญ่แบบครอบครัว และมื้อนี้เราเลือกนั่งที่บาร์ริมทะเลสาบเพื่อจะชมวิวกันแบบฟินๆ

Rewinerakthai-32

ระหว่างสั่งอาหารก็จะมีเวลคัมดริ้งค์มาเสริฟ แน่นอนว่าต้องคือน้ำชากลิ่นหอมๆ 

Rewinerakthai-32 

ส่วนเมนูที่ต้องไม่พลาดก็คือ ขาหมู หมั่นโถ่ว เสริฟแบบเดือดๆ 390 บาท และเมนูยำใบชา 140 บาท รสชาติเข้มข้นถูกใจสุดๆ กินเสร็จแนะนำให้เดินเล่นรอบหมู่บ้าน จิบชากันเพลินค่อยขับรถกลับ ปิดทริปได้อย่างนา่ประทับใจอย่างแน่นอน

Rewinerakthai-32 

Untitled-1-01

และขากลับจากเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางราวๆ 5 ชั่วโมง ถึงเชียงใหม่ก็เข้าช่วงเย็นพอดี จะแวะทานมื้อค่ำแล้วบินกลับในไฟลท์ดึก หรือจะเที่ยวเชียงใหม่ต่อสักคืนสองคืน ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย…หวังว่าบทความนี้จะช่วงวางแผนการเดินทางสำหรับทุกคนได้บ้าง

 


ผู้เขียน

admin tripgether
สัญญาว่าจะเที่ยวให้ดีที่สุด!!

เรื่องที่คุณอาจสนใจ